แฟรงค์ แลมพาร์ด ตำนานนักเตะของ เชลซี เพิ่งตกลงย้ายกลับมารับงานให้สโมสรเก่าของเขาอีกครั้งในฐานะกุนซือใหญ่ของทีม แทนที่ของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ด้วยสัญญาระยะเวลา 3 ปี ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยนี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจอำลาสโมสรออกไปเมื่อปี 2014 ก่อนที่จะกลับมาอยู่กับทีมอีกครั้งด้วยบทบาทที่สำคัญกว่าเดิม
โดยที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 14 ปี กับทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” อดีตกัปตันทีมรายนี้มีเหตุการณ์และเรื่องราวที่น่าจดจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 50 ปี ได้สำเร็จ หรือแม้กระทั่งสมัยที่เจ้าตัวก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในนักเตะแถวหน้าของโลก ซึ่งในวันนี้ Ufa Arena จะขอพาทุกท่านกลับไปย้อนดูว่า 5 ความทรงจำที่ดีที่สุดของ แฟรงค์ แลมพาร์ด กับ เชลซี จะมีอะไรกันบ้าง เราลองไปย้อนดูกันเลย
ประเดิมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกกับสโมสร (เมษายน 2005)
ย้อนกลับไปในวันที่ 30 เมษายน ปี 2005 เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ โช่เซ่ มูรินโญ่ ที่ผลงานกำลังยอดเยี่ยมสุดๆทำแต้มหลุดมือแค่เพียง 18 แต้มเท่านั้น หลังลงเล่นไปแล้ว 34 แมตช์ ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2004/2005 ซึ่งในเกมนัดที่ 35 ของฤดูกาล เฮดโค้ชชาวโปรตุเกสต้องพาทีมบุกไปเยือน โบลตัน วันเดอเรอร์ส ที่สนาม รีบอค สเตเดี้ยม และจำเป็นต้องคว้า 3 แต้ม ให้ได้ เพื่อการันตีตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีครั้งแรกในรอบ 50 ปี ของสโมสร
โดยเกมนัดดังกล่าว แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ถือเป็นหนึ่งในจอมทัพของขุนพล “สิงโตน้ำเงินคราม” เวลานั้น ได้ลงสนามเป็นตัวจริงเหมือนเดิม และเป็นคนยิงถึง 2 ประตูในแมตช์นี้อีกด้วย สกอร์แรกมาจากจังหวะที่เขาได้โอกาสพาบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนซัดด้วยเท้าขาวเต็มแรงบอลพุ่งผ่านมือ ยุสซี่ ยัสเคไลเน่น นายด่านชาวฟินแลนด์ตุงตาข่ายอย่างสวยงามในช่วงผ่านเข้าสู่ 1 ชั่วโมงของเกมพอดิบพอดี ส่วนประตูที่สองเกิดขึ้นนาทีที่ 76 จากความยอดเยี่ยมของอดีตแข้งเบอร์ 8 “สิงห์บลู” ในจังหวะเลี้ยงบอลหลบหนีมือกาวคู่แข่งแบบเหนือชั้น ก่อนซัดบอลเข้าไปสู่ก้นตาข่ายโล่งๆ เป็นสกอร์ที่ส่งให้ต้นสังกัดของเขาสามารถความแชมป์ลีกในปีนั้นได้สำเร็จ และยังเป็นแชมป์รายการแรกของ แลมพาร์ด กับสโมสร แถมเขายังยิงไปถึง 19 ประตู รวมทุกรายการในฤดูกาลนั้นด้วย
คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม FWA และเฉียดคว้าบัลลงดอร์ (พฤศจิกายน 2005)
ด้วยความยอดเยี่ยมของเขาในซีซั่น 2004/2005 ที่สามารถพา เชลซี คว้าดับเบิ้ลแชมป์บนเกาะอังกฤษทั้งถ้วย ลีก คัพ และ พรีเมียร์ลีก พร้อมยิงไปอีก 19 ประตู ทำให้ แฟรงค์ แลมพาร์ด ผงาดคว้ารรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (FWA) มาครองได้สำเร็จ นอกจากนี้เขายังมีชื่อลุ้นเข้าชิงทั้งรางวัลบัลลงดอร์ และ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของฟีฟ่า
ทว่าท้ายที่สุดแล้วอดีตกัปตันทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ต้องอกหักหลังเจ้าตัวพลาดโอกาสคว้าทั้งสองรางวัลให้กับ โรนัลดินโญ่ สุดยอดนักเตะของโลกในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม แลมพาร์ด ยังได้รับการยกย่องให้เป็นกองกลางที่ดีที่สุดคนหนึ่ง หลังมีคะแนนโหวดจากทั้งสองรางวัลอยู่ในอันดับสอง มากกว่าทั้ง ซามูเอล เอโต้, เธียร์รี อองรี และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เหล่าบรรดาแข้งระดับแถวหน้าของวงกาลลูกหนังในเวลานั้น
ประสบความสำเร็จในฟุตบอลยุโรปครั้งแรก (พฤษภาคม 2012)
ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2012 หลังพวกเขาสามารถคว่ำเต็งหนึ่งอย่าง บาร์เซโลน่า ในรอบตัดเชือกได้สำเร็จแบบเหนือความคาดหมาย โดยเกมชี้ชะตาเจ้ายุโรปพวกเขาโคจรมาพบกับ บาเยิร์น มิวนิค ทีมแกร่งจากเยอรมันที่สนาม อลิอันซ์ อารีน่า ซึ่งเป็ยรังเหย้าของพวกพลพรรค “เสือใต้” เองด้วย
โดยแมทช์นี้เป็นทางฝั่งของ บาเยิร์น ออกนำไปก่อนจากประตูของ โธมัส มุลเลอร์ ในนาที 83 ก่อนที่ช่วง 2 นาทีสุดท้ายของเกม ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา มาโขกบอลตีเสมอเป็น 1 – 1 ให้กับ เชลซี ได้ลุ้นต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษซึ่งทั้งสองทีมก็ยังทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ต้องยิงจุดโทษเพื่อหาผู้ชนะ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่รับหน้าที่เป็นกัปตันในเกมวันนั้น เป็นผู้สังหารจุดโทษคนที่สามให้กับทีมและเขาก็ไม่พลาด ท้ายที่สุดเป็นทางฝั่งลูกทีมของ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่แม่นกว่าและเอาชนะไปได้ในท้ายที่สุด พร้อมคว้าถ้วย “บิ๊กเอียร์” สมัยแรกของสโมสรมาครองได้สำเร็จ และเป็นโทรฟี่ฟุตบอลยุโรปครั้งแรกแรกของ แลมพาร์ด ในชีวิตการค้าแข้งของตัวเอง
https://www.youtube.com/watch?v=UXoEIxBijZ4
ขึ้นแท่นดาวยิงสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร (พฤษภาคม 2013)
แฟรงค์ แลมพาร์ด ยิงประตูที่ 202 และ 203 ให้กับ เชลซี ได้สำเร็จในเกมที่เขาเบิ้ลสกอร์ช่วยพาทีมเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 2 – 1 ในเกมนัดส่งท้ายของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2012/2013 ซึ่งนั้นทำให้เขาสามารถพังสถิติก้าวขึ้นมาเป็นแข้งที่ยิงมากสุดให้กับทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” แซงหน้า บ็อบบี แทมบลิง เจ้าของสถิติเก่าซึ่งซัด 202 ประตู ช่วงระหว่างปี 1959 – 1970
หลังจากนั้นอดีตกองกลางเบอร์ 8 ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ยังคงเดินหน้าผลิดสกอร์อย่างต่อเนื่องในนามนักเตะของ เชลซี เพิ่มจำนวนสถิติดาวยิงสูงสุดต่อไป กระทั่งเจ้าตัวตัดสินใจอำลาสโมสรในปี 2014 ด้วยการบันทึกประตูที่ยิงให้กับขาใหญ่แห่งกรุงลอนดอนไว้ด้วยจำนวน 211 ลูก มากที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน และยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครสามารถพังสถิติดังกล่าวลงได้ในเร็ววันนี้แน่นอน
กลับมารับตำแหน่งกุนซือของสโมสร (มิถุนายน 2019)
เป็นเวลากว่า 5 ปีเต็ม หลังจากที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ตัดสินใจโบกมืออำลาแฟนบอลและบรรดาเพื่อนร่วมทีมออกจากถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อปี 2014 ปิดฉากหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนังของยอดทีมแห่งเมืองหลวงเกาะอังกฤษ แต่แล้วหลังจากที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ได้ตัดสินใจแยกทางกับ เชลซี หลังจบซีซั่นที่ผ่านมา อดีตขวัญใจแฟนบอล “สิงห์บลู” ได้ถูกพาตัวกลับมายังสโมสรแห่งนี้อีกครั้ง ด้วยบทบาทใหม่ในฐานะกุนซือของทีม
เทรนเนอร์หนุ่มไฟแรงโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมสมัยที่เขายังทำงานกับ ดาร์บี้ เค้าท์ตี้ ในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ เมี่อซีซั่นที่แล้ว และเกือบจะพาทีมเพลย์ออฟเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ ทว่าทัพ “แกะเขาเหล็ก” ดันไปพลาดท่าแพ้ แอสตัน วิลล่า ในเกมนัดชิงตั๋วเพลย์ออฟใบสุดท้ายแบบน่าเสียดายสุดๆ
โดยหลังจากที่ แลมพาร์ด ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะนายใหญ่คนใหม่ของ “สิงโตน้ำเงินคราม” เขาได้ออกมาเผยว่า “ผมรู้สึกภาคภูมิใจมากๆที่ได้กลับมายัง เชลซี ในฐานะเฮดโค้ช ทุกคนรู้ดีว่าผมรักสโมสรแห่งนี้ และมีประวัติศาสตร์ที่น่าจะจดจำร่วมกัน เป้าหมายเดียวในงานของผมตอนนี้คือเตรียมทีมสำหรับซีซั่นที่กำลังจะมาถึง ผมมาที่นี้จะทำงานเต็มที่เพื่อนำความสำเร็จมาให้กับสโมสรในอนาคต และผมอดใจรอไม่ไว้แล้วที่จะได้เริ่มงานสักที”