หมดสภาพทีมลุ้นแชมป์ : เจาะประเด็นทำไมไก่เดือยทองถึงฟอร์มบู่?

 

ก่อนเริ่มเกมที่พบกับไบรท์ตัน เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ กล่าวว่าทีมต้องก้าวต่อไป หลังพ่ายให้กับ บาเยิร์น มิวนิค แบบหมดสภาพ 7-2 แต่ทว่าความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาพูด เมื่อทีมพ่ายในเกมล่าสุด 3-0 

 

แผลลึกที่ปรากฏให้เห็นในวันเสาร์ที่ผ่านมา มันแย่เกินกว่าที่จะทำให้ทีมเดินหน้าต่อไปได้ พวกเขามีปัญหาอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ทำลายความหวังที่พอชเคยบอกว่าฤดูกาลนี้จะเป็นบทใหม่ของทีม หลังจากที่เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลก่อน

 

และการพ่ายให้ในกับ ทีมนกนางนวล ในถิ่น อาแม็กซ์ สเตเดี้ยม ที่ไม่เคยชนะในรังเหย้าของตัวเองเลยตั้งแต่เดือนมีนาคม ทำให้เกิดความสงสัยไม่น้อยว่าความมั่นใจที่ทีมไก่เดือยทองเคยมีได้สลายตัวและหายไปไหนหมด

 

การพักเบรกทีมชาติในช่วงนี้น่าจะทำให้ กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ มีเวลาทบทวนถึงความผิดพลาดเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และน่าจะช่วยฟื้นสภาพจิดใจของผู้เล่นได้ในระดับนึงยามรับใช้ชาติบ้านเกิดในเวลาดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของทีมหลายอย่างที่เห็นได้ชัดคงจะไม่มีทางแก้ไขได้ในช่วง 2 สัปดาห์นี้แน่ๆ ทาง UFA ARENA จะพาเหล่า ยิด อาร์มี่ ทุกท่าน รวมถึงแฟนบอลทีมอื่นในไทย ไปวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเหตุใดจึงทำให้รองแชมป์ยุโรปหมดสภาพเช่นนี้

 

 

ฟอร์มเด่นหาย ความมั่นใจหด

 

 

หลังเกมล่าสุด สเปอร์ส ได้พ่ายเป็นเกมที่ 19 ในทุกรายการของปี 2019 ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าทีมอันดับต้นๆของพรีเมียร์ลีกในตอนนี้

 

ผลงานในสนาม ทั้งกองหลัง, กองกลาง และ กองหน้า ต่างไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานที่พวกเขาเคยทำไว้ในอดีต ขณะที่ปัญหาเรื่องสัญญาของ คริสเตียน อีริคเซ่น, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ และ ยาน แฟร์ตองเก้น ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในเร็วๆนี้

 

โปเช็ตติโน่ อธิบายถึงทีมของเขาว่า ‘ขาดความแน่นอน’ และหลังจากที่ถูก โคลเชสเตอร์ เชี่ยตกรอบด้วยการดวลจุดโทษในลีก คัพ ก็กล่าวว่าการเสริมทัพนักเตะในเดือนมกราคมคงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการแก้ไขสถานการณ์ของทีมในตอนนี้ อย่างไรก็ดี หลังจากพ่ายไปถึง 17 ครั้งในปีนี้ ก็เป็นเรื่องยากที่แก้ไขปัญหานี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

ส่วนเกมเยือนของสเปอร์ส พวกเขาก็เอาชนะได้แค่ 3 จาก 18 นัดหลังสุดในทุกรายการ โดยเฉพาะเกมที่พบ อาร์เซน่อล, โอลิมเปียกอส, เลสเตอร์ และ บาเยิร์น มิวนิค ทำให้พอชต้องตั้งคำถามกับสภาพจิดใจของลูกทีม

 

ในด้านพละกำลัง การเล่นเกมเพรสซิ่งหนักๆ ซึ่งเป็นไตล์การเล่นอันโดดเด่นที่พอชวางระบบให้สเปอร์ส ก็ไม่มีให้เห็นในเกมที่พ่ายไบรท์ตัน และดูเหนื่อยล้า, เฉื่อยชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

แม้การเอาชนะเซาแธมป์ตันได้ด้วยผู้เล่นเพียง 10 คน อาจจะดูคล้ายว่าเป็นจุดเปลี่ยนของทีม แต่ทว่ามันกลับกลายเป็นสัปดาห์ที่เป็นดั่งฝันร้ายและค่อยๆเปิดปัญหาของสเปอร์สอย่างช้าๆ

   

 

เกมรับที่กลายเป็นจุดอ่อน

 

 

ในฤดูกาล 2015-2017 ไก่เดือยทองเป็นทีมที่มีสถิติเกมรับดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งฤดูกาลที่แล้วก็เป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น แต่ทว่าในตอนนี้ เขากลับเสียไปแล้ว 10 ลูก ภายในเวลาแค่ 2 นัด

 

ส่วนการเก็บคลีนชีท พวกเขาก็ทำได้เพียง 2 นัดเท่านั้น ก็คือเกมในบ้านที่เอาชนะคริสตัล พาเลซ และ เกมที่พ่ายจุดโทษแก่โคลเชสเตอร์  มากไปกว่านั้น พวกเขาต้องเสีย ฮูโก้ โยริส นายทวารมือหนึ่งไปแบบไม่มีกำหนด หลังข้อศอกเลื่อนในเกมที่พ่ายไบรท์ตัน

 

แฟร์ตองเก้น และ อัลเดอร์ไวเรลด์ ต่างหมดสัญญากับทีมในซัมเมอร์หน้า ก็ยังเล่นได้ไม่น่าไว้ใจนัก ขณะที่ฟูลแบ็คของทีมที่เคยเติมเกมรุกได้เร้าใจและเป็นจุดแข็งของทีม ในตอนนี้กลับกลายเป็นจุดอ่อนอย่างเห็นได้ชัด

 

ฤดูกาล 2017-18 เบน เดวิส และ คีเแรน ทริปเปียร์ สร้างโอกาสมากกว่ากองหลังคนไหนในพรีเมียร์ลีก และในฤดูกาลก่อน แม้ทริปเปียร์จะโดนวิจารณ์เรื่องการเล่นเกมรับ ในการสร้างโอกาส เขาก็ตามหลังแค่ ลูคัส ดีญ จากเอฟเวอร์ตัน และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสันจาก ลิเวอร์พูลเท่านั้น

 

ทว่าในฤดูกาลล่าสุด เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้สร้างโอกาสไปแล้วกว่า 30 ครั้ง แต่ไม่มีฟูลแบ็คของสเปอร์สคนไหนเลยที่สร้างโอกาสได้ถึงเลข 2 หลัก

 

ทางฝั่งซ้าย ไรอัน เซสเซยง ก็ยังมีอาการบาดเจ็บรบกวน ขณะที่เดวิส และ นักเตะที่คาดว่าจะย้ายทีมในซัมเมอร์นี้อย่าง โรส ก็ทำผลงานได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

 

ส่วนฝั่งขวา โปเช็ตติโน่ อาจจะต้องขยับ ดาวิดซอน ซานเชซ หรือ มุสซ่า ซิสโซโก้ มาเล่นเป็นตัวเลือกพิเศษ แทนที่ แซร์จ ออริเย่ร์ ที่โดนแบนในเกมลีกล่าสุดและทำพลาดให้ทีมเสียประตูในเกมที่พ่ายเสือใต้เละเทะ

 

 

ความสมดุลที่หายไปในแดนกลาง

 

 

แต่เดิมที โจวานนี่ โล เซลโซ่ และ ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ ควรจะได้ยืนเป็นกองกลางตัวหลักของสเปอร์ส แต่ด้วยอาการบาดเจ็บกับ ฟอร์มที่ยังไม่สม่ำเสมอ ทำให้แผนที่วางไว้ตอนแรกต้องหยุดชะงักลง

 

นั่นเป็นทำให้ พอช ต้องจำใจหาตัวเลือกที่จะดึงสมดุลแดนกลางจากตัวเลือกอื่นๆที่มีเหลืออยู่ในทีมแทน

 

แฮร์รี่ วิงส์ ที่ได้รับบทบาทเป็นตัววางบอลในแนวลึก จำเป็นต้องมีกองกลางสายเกมรับสนับสนุนที่ดีกว่าทั้ง เอ็นดอมเบเล่ และ ซิสโซโก้ โดยเฉพาะหากยืนเป็นรูปเพชรในแดนกลาง ซึ่งการกลับมาของ อีริค ดายเออร์ น่าจะเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจในตำแหน่งตัวรับ

 

ขยับขึ้นไปข้างหน้าเล็กน้อย ตัวสร้างสรรค์เกมอย่าง อีริคเซ่น กลับจ่ายบอลจังหวะสำคัญเฉลี่ยใน 90 นาที ได้น้อยที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาค้าแข้งกับสเปอร์ส (2.3 ครั้งต่อเกม)ขณะที่ เอริค ลาเมร่า ก็ยิงไปแค่ประตูเดียวเท่านั้นจากการลงสนามทั้งหมด 9 นัดหลังสุด 

 

เช่นเดียวกับ เดเล่ อัลลี่ ที่มีอาการบาดเจ็บเอ็นร้อยหวายในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล แต่เมื่อหายกลับมาแล้ว เขาก็ไม่สามารถทำผลงานได้เหมือนมื่อก่อน ทั้งในเกมที่พบกับ โอลิมเปียกอส และ บาเยิร์น มิวนิค จนทำให้เขาต้องหลุดโผทีมชาติอังกฤษในสัปดาห์นี้ไป

 

 

โอกาสในเกมรุกที่น้อยลง

 

 

จำนวนประตูที่แฮร์รี่ เคน ดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีมทำได้ในฤดูกาลนี้ก็ยังดูดีอยู่ โดยยิงไป 11 ลูก จาก 12 นัดทั้งในเกมสโมสรและทีมชาติ แบ่งเป็น 5 ประตูกับสเปอร์ส 8 นัดในเกมลีก แต่หากลองสังเกตุดูดีๆ มีสัญญานที่บ่งบอกว่าเขามีโอกาสกับต้นสังกัดน้อยลง

 

เช่น อีริคเซ่น กองหน้าทีมสิงโตคำรามมีค่าเฉลี่ยยิงประตูต่อ 90 นาที น้อยกว่าทุกฤดูกาลที่เขาลงเล่นให้สเปอร์ส (3 ครั้งต่อนัด) เขาอาจจะยิงประตูได้ก็จริง แต่เขากลับทำมันได้โดยไม่มีโอกาสมากมายอย่างที่เคยเป็น

 

ปัญหาก็คือ เมื่อเคนพลาดขึ้นมาอย่างในเกมที่พบกับ ไบรท์ตัน ณ ครึ่งเวลาหลัง เขาก็ไม่มีโอกาสทำได้อีกเลย ซึ่งอันที่จริงนี่เป็นโอกาสครั้งเดียวที่เขาทำได้ใน 90 นาทีของเกมวันเสาร์ด้วยซ้ำ

 

ส่วนคู่ขาในแดนหน้าของ ซอน เฮือง-มิน ที่ใช้โอกาสเปลืองในเกมนั้น และตัวสำรองอย่าง ลูคัส มูร่า ก็ยังห่างไกลจากฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาลที่แล้

 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่แฟนไก่เดือยทองหวังที่สุดก็คือ แข้งจากทีมรักของพวกเขาก็กลับมายิงได้อย่างต่อเนื่องเหมือนเคย ในเกมนัดต่อไปที่พบกับ วัตฟอร์ด ทีมท้ายตาราง และ เกมแชมเปี้ยนส์ลีกในบ้านกับ เร้ดสตาร์ เบลเกรด ซึ่งนั่นคงเป็นโอกาสที่จะทำให้พวกเขากลับมาอยู่ในลู่ทางที่ควรจะเป็นอีกครั้งหลังพักเบรกทีมชาติ

 

แม้การเปลี่ยนสภาพจิตใจและโมเมนตัมจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทำกันได้ในเวลาสั้นๆก็ตาม