หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา: เหล่ายอดแข้งที่หวนคืนสู่สโมสรเดิมอีกครั้ง

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา อิวาน ราคิติช กองกลางตัวกลั่นของ บาร์เซโลน่า  ตัดสินใจย้ายออกจากถิ่น คัมป์ นู พร้อมตัดสินใจหวนกลับมาค้าแข้งในถิ่น  เอสตาดิโอ รามอน ซานเชซ ปิซฆวน แห่ง เซบีญ่า สโมสรที่เขาเคยค้าแข้งอีกครั้ง 

 

 

 

 

ดาวเตะโครแอต สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซ สมัยค้าแข้งอยู่กับ เซบีญ่า เมื่อ 6 ปีก่อน หลังทำไป 32 ประตู 41 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 149 นัด และยังเป็นกัปตันทีมชุดคว้าแชมป์ยูโรป้าลีก เมื่อปี 2014 อีกด้วย 

 

 

 

นั่นทำให้นึกว่าในช่วงชีวิตการค้าแข้งของนักเตะคนหนึ่ง เปรียบดั่งการผจญภัย ที่จะได้ออกไปเล่นให้กับสโมสรใหม่อยู่เสมอ แต่สุดท้ายแล้ว ก็มีไม่น้อยที่การเดินทางนั้นจะย้อนวนกลับมายังบ้านหลังเก่า  

 

 

 

และวันนี้ UfaArena จะพามาดูกันว่าแข้งรายใดที่เคยหวนคืนสู่ถิ่นเดิมอันเป็นที่รักของพวกเขาเป็นคำรบสองบ้าง 

 

 

 

 

เธียร์รี่ อองรี  (อาร์เซน่อล)

 

กองหน้าผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่สุดตลอดกาลของ ศึก พรีเมียร์ลีก เขาย้ายจาก ยูเวนตุส มาร่วมทัพ อาร์เซน่อล เมื่อปี 1999 และอยู่กับทีมมายาวนานถึง 8 ปี พร้อมยิงประตูมากที่สุดตลอดกาลให้กับสโมสรที่ 228 ประตู  รวมทั้งคว้าแชมป์กับทีมมากมาย จนได้รับเกียรติสร้างรูปปั้นอยู่หน้าสนาม เอมิเรตท์ สเตเดี้ยม 

 

 

จนกระทั่งในปี 2007 อองรี ได้ตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า ในปี 2007  เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง จากนั้นได้ย้ายไป นิวยอร์ก เร้ด บูลส์ เมื่อปี 2010  ซึ่งในช่วงที่ลีกพักเบรค ดาวยิงเลือดเฟรนช์ ได้ย้ายกลับมายังถิ่น เอมิเรตท์ สเตเดี้ยม อีกครั้ง ด้วยสัญญายืมตัวเป็นระยะเวลาสั้นๆ 2 เดือน และก็ทำได้อย่างประทับใจ เมื่อประเดิมสนามด้วยการยิง ลีดส์ ยูไนเต้ด ในเกม เอฟเอ คัพ รอบสาม ซึ่งนั่นก็มากพอที่จะทำให้เหล่า “กูนเนอร์ส” หายคิดถึงตำนานที่ยังมีลมหายใจคนนี้แล้ว 

 

 

 

ดีดิเยร์ ดร็อกบา (เชลซี)

 

ดาวยิงโกติวัวร์ ย้ายจาก โอลิมปิก มาร์กเซย์ มาร่วมทัพ สิงห์บูล์ส ด้วยค่าตัวสถิติสโมสรในเวลานั้นถึง 24 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2004และตลอด 8 ฤดูกาลเขาก็พาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอ คัพ 3 สมัย รวมถึง ลีกคัพ อีกสองหน และถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย พร้อมทำยิงไปถึง 157 ประตู จาก 341 นัด

 

 

จากนั้น ดร็อกบา ได้ย้ายไปค้าแข้งในศึก ไชนีส ซูเปอร์ลีก กับสโมสร เซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว เมื่อปี 2012 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ กาลาตาซาราย  จนกระทั่งในปี 2014 การกลับมาคุมทัพ เขลซี รอบ 2 ของ โชเซ่ มูรินโญ่ เขาก็ไม่ลืมที่จะดึงหัวหอกที่เขารักอย่าง ดร็อกบา กลับสู่ทีมอีกครั้งด้วยการเซ็นสัญญา 1 ปี และเขาก็ไม่ทำให้กุนซือชาวโปรตุกีสและแฟนบอลต้องผิดหวัง เมื่อเป็นกำลังสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้อีกสมัย เรียกว่านี่คือ “ราชาของสิงห์บูล์ส” อย่างแท้จริงที่สุด 

 

ปอล ป็อกบา (แมนฯยูไนเต็ด)

 

ดาวเตะแชมป์โลกชาวฝรั่งเศส นับเป็นหนึ่งในมหากาพย์การย้ายทีมของ แมนฯยูไนเต็ด เลยก็ว่าได้ หลังจากรอบแรกที่เขามาอยู่กับทีม เมื่ออายุ 18 ปี ภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ป็อกบา ได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพ ยูเวนตุส แบบไร้ค่าตัว  หลังได้รับโอกาสลงสนามเพียง 7 เกมในทุกรายการ  และทุกเกมนั้นมาจากการเป็นตัวสำรอง 

 

แต่ปรากฏว่าเมื่อได้ย้ายไปค้าแข้งในแดนรองเท้าบู๊ต ป็อกบา เมื่อกลายเป็นคนละคน เมื่อเขาคว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ ร่วมกับทัพ “ม้าลาย” ถึง 4 สมัย รวมไปถึงผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยในปี 2014/15 ซึ่งที่กล่าวมา ป็อกบา คือแกนหลักของทีมมาโดยตลอด จนเขาได้รับเสื้อหมายเลข 10 ไปครอง ซึ่งหลังจากทำผลงานได้อย่างประทับใจสุดๆ  ทำให้หลายทีมในยุโรปต้องการตัวเขาไปร่วมทัพ ไม่ว่าจะเป็น เรอัล มาดริด ,บาร์เซโลน่า รวมไปถึง ยูไนเต็ด ทีมเก่าของเขานี่เอง 

 

และก็กลายเป็นทัพ “ปีศาจแดง” ที่ประสบความสำเร็จ คว้าตัว ป็อกบา กลับคืนถิ่นอีกครั้ง พร้อมทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นแข้งค่าตัวแพงเป็นสถิติโลก ที่ 89 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2016 ก่อนจะเป็นกำลังสำคัญของทีมมาจนถึงปัจจุบันนี้ 

 

 

ริคาร์โด้ กาก้า  (เอซี มิลาน)

 

ตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่เขาค้าแข้งในถิ่น ซานซีโร่ ระหว่างปี 2003 – 2009 กาก้า ได้ร่ายเวทย์มนต์ จนช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จมากมาย โดยเฉพาะการพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2006 ก่อนจะคว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาครองในปี 2007 แต่แล้วดาวเตะแซมบ้า ก็ตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งกับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 56 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2009  

 

ซึ่งตลอดการค้าแข้ง 4 ปีที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว กาก้า เป็นหนึ่งในทีมชุดคว้าแชมป์ ลาลีกา สเปน  แต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ ที่ทำให้เขาไม่ค่อยฉายแสงกับทีมเท่าไหร่นัก ทำให้ในปี 2013 เขาตัดสินใจกลับคืนสู่ถิ่นเก่าอย่าง มิลาน อีกครั้งด้วยสัญญา 1 ฤดูกาล ก่อนที่สุดท้ายจะย้ายไปค้าแข้ง ในเมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ และแขวนสตั๊ดในที่สุด

 

 

คาร์ลอส เตเบซ (โบคา จูเนียร์ส)

 

“เอล อาปาเช่” ก้าวขึ้นมาจากทีมชุดเยาวชนของ โบคา จูเนียร์ส  ก่อนจะก้าวสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2001 พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกับทีมด้วยการคว้าแชมป์ โคปา ลิเบอตาดอเรส คัพ ในปี 2015  จนได้ย้ายไปเล่นกับ โครินเธียนส์ ในลีก บราซิล เมื่อปี 2005 

 

หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็เริ่มโลดแลนอยู่ในยุโรป ด้วยการค้าแข้งให้กับทั้ง เวสต์แฮม ,แมนฯยูไนเต็ด ,แมนฯซิตี้ และ ยูเวนตุส พร้อมกับประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ก่อนที่จะหวนกลับมาเล่นให้กับ โบคา บ้านเก่าอีกครั้ง ในปี 2015

 

แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะในปี 2017 เขาได้รับข้อเสนอจำนวนมหาศาลให้ย้ายไปค้าแข้งกับ เซี่ยงไฮ้ เซิ่นหัว จากไชนีส ซูเปอร์ลีก  ซึ่งเล่นได้ไม่นานก็รู้ว่าบะหมี่คงไม่อร่อยนัก จึงย้ายกลับมาค้าแข้งกับ โบคา จูเนียร์ส อีกรอบเป็นคำรบที่สามในปี 2018 แต่ในวัย 36 ปีของเขา ยังช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จเช่นเดิม ก่อนที่จะเพิ่งได้รับสัญญาฉบับใหม่อีกครั้งเมื่อเดือนที่ผ่านมา 

 

 

เคลาดิโอ ปิซาร์โร่  (แวร์เดอร์ เบรเมน)

 

หากจะหาแข้งซักรายที่ย้ายกลับคืนสู่ถิ่นเก่ามากที่สุด ชื่อของ ปิซาร์โร่ คือลำดับต้นๆแน่นอน เพราะการกลับสู่ถิ่น นกนางนวล นั้นเกิดขึ้นถึง 5 ครั้งเลยทีเดียว ตลอดช่วงอาชีพการค้าแข้งของเขา 24 ปี  ประกอบไปด้วยปี 1999, 2008 (ย้ายมาจาก เชลซี แบบยืมตัว), 2009 , 2015 และ 2018 ซึ่งครั้งสุดท้ายนั้นเขามีอายุร่วม 39 ปีเข้าไปแล้ว  ซึ่งตลอดการค้าแข้ง 5 รอบนั้น เขาลงสนามไปถึง 320 นัดยิงไปทั้งสิ้น 153 ประตู ก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 41 ปี เมื่อช่วงต้นปีนี่เอง 

 

 

มาริโอ เกิทเซ่  (โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์)

 

ฮีโร่ทีมชาติเยอรมนี ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2014  คือเด็กปั้นของ ทัพ “เสือเหลือง” ขนานแท้ ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีม ภายใต้การคุมทัพของ เยอร์เก้น คล็อปป์ เมื่อช่วงปี 2009 และเป็นกำลังสำคัญของทีมชุดแชมป์ บุนเดสลีกา 2 สมัยซ้อน

 

แต่หลังจากนั้นการได้ย้ายไปค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค เขาต้องประสบปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อาการบาดเจ็บ และความผิดปกติของการเผาผลาญ ซึ่งส่งผลต่อสภาพร่างกาย จนสุดท้ายก็ได้ย้ายกลับมาค้าแข้งกับ ทัพ เสือเหลือง อีกหนในปี 2016  และในฤดูกาลนี้เองเขาก็ไม่ได้รับต่อสัญญาออกไป และกลายเป็นแข้งฟรีเอเยนต์ในวัยเพียง 28 ปีเท่านั้น

 

เวย์น รูนีย์  (เอฟเวอร์ตัน)

 

รูนีย์ ค้าแข้งกับ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ตั้งแต่ปี 2001 ก่อนจะแจ้งเกิดเต็มตัวในเกมที่เขายิงประตูชัย ช่วยให้ทีม พลิกเอาชนะ อาร์เซน่อล ในช่วงนาทีสุดท้ายและหยุดสถิติไม่แพ้ใครมา 30 นัดลงได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น ทำให้เขาได้กลายเป็นแข้งที่แฟนบอลจับตามอง  จนกระทั่งในปี 2004 จะได้ย้ายไปค้าแข้งกับ แมนฯยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวสูงถึง 28 ล้านปอนด์​ พร้อมกับกลายเป็นหนึ่งในแข้งที่ประสบความสำเร็จของทัพ “ปีศาจแดง”

 

และเมื่อถึงจุดอิ่มตัวเมื่อปี 2017   รูนีย์ ในวัย 31 ปี ก็ได้ย้ายกลับมายัง สโมสร เอฟเวอร์ตัน ถิ่นเก่าอีกครั้ง พร้อมกับยิงไปทั้งหมด 10 ประตู จาก 17 นัด ซึ่งนับเป็นการกลับมาที่คุ้มค่าและไม่ผิดหวังจริงๆ

 

 

ดาวิด ลุยซ์  (เชลซี)

 

ปราการหลังแซมบ้า  ย้ายจาก เบนฟิก้า มาร่วมทัพ สิงห์บูล์ส ด้วยค่าตัว 21 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2011 จากนั้นในปี 2014 เขาตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกในเวลานั้นถึง 50 ล้านปอนด์  

 

 ซึ่งหลังไปกวาดแชมป์กับ เปแอสเช มากมาย แนวรับหัวฟู ก็ตัดสินใจหวนคืนสู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้ง ในปี 2016 ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ และการกลับมาคราวนี้ ลุยซ์ ได้กลายเป็นกำลังสำคัญของทีมภายใต้การคุมทัพของ อันโตนิโอ คอนเต้ พร้อมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้สำเร็จ เมื่อปี 2017  ซึ่งเขาได้ลงเล่นให้กับ เชลซี ในการค้าแข้งทั้งสองรอบถึง 248 เกม ก่อนที่ปัจจุบันจะย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล คู่แข่งร่วมกรุงลอนดอน

 

    

 DaboyG