ห้ามไม่ฟัง! 5 สตาร์ดังตกอับหลังย้ายหนีคล็อปป์

 

เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยถูกบีบให้ขายนักเตะคนสำคัญของตัวเองหลายครั้งในช่วงเวลาที่คุมทีม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล บางรายก็ถือว่าประสบความสำเร็จหลังก้าวออกมา ตัวอย่างเช่น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่รุ่งโรจน์สุดขีดกับ บาเยิร์น มิวนิค แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่กราฟชีวิตดิ่งลงนับตั้งแต่ลาจากกุนซือเฮฟวี่เมทั่ลไป และต่อไปนี้ คือ 5 ดาวดังที่ล้มเหลวกับสโมสรถัดมาของพวกเขาหลังตัดสินใจย้ายหนี คล็อปป์

 

เอ็มเร่ ชาน

 

 

ลิเวอร์พูล เซ็นสัญญาคว้าตัว เอ็มเร่ ชาน มาร่วมทัพเมื่อปี 2014 ในยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และในฤดูกาลแรกของเขากับสโมสร เจ้าตัวถูกวางบทบาทให้เล่นในเชิงรับเป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ก้าวเข้ามา ชาน ก็ถูกดันให้ยืนสูงขึ้นในแดนกลาง และกลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้หงส์แดงไปถึงรอบชิง ยูโรปา ลีก ในปี 2016

 

ดาวเตะชาวเยอรมัน ได้รับโอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอตลอดฤดูกาล 2016-17 และฤดูกาล 2017-18 ภายใต้การนำของ คล็อปป์ แต่ต่อมาเขากลับปฏิเสธที่จะต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีม และตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส แบบไร้ค่าตัวในช่วงซัมเมอร์ปี 2018

 

ในซีซั่นแรกของ ชาน กับ ยูเวนตุส เขาได้ออกสตาร์ทไปแค่ 22 เกมเท่านั้นรวมทุกรายการ เนื่องจากทีมม้าลายมีมิดฟิลด์ชั้นดีหลายราย อีกทั้งในช่วงหน้าร้อนนี้ เบียงโคเนรี่ยังไปดึง อารอน แรมซีย์ กับ อาเดรียง ราบิโอต์ เข้ามาเพิ่ม ซึ่งนั่นทำให้สถานการณ์ของเจ้าตัวแย่ลงไปอีก ซ้ำร้าย ชาน ยังโดนตัดชื่อออกจากขุมกำลังสำหรับสู้ศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในรอบแรกไปแล้วเรียบร้อย

 

ตัดกลับมาที่ ลิเวอร์พูล พวกเขาได้นำ ฟาบินโญ่ เข้ามาแทนที่ พร้อมขัดเกลาแข้งบราซิเลี่ยนให้กลายเป็นหนึ่งในกองกลางตัวรับที่ดีที่สุดของยุโรปในขณะนี้

 

นูริ ซาฮิน

 

 

นูริ ซาฮิน ถือเป็นผลผลิตจากสถาบันลูกหนังของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต่อยอดจนกลายมาเป็นขุนพลคนสำคัญของ คล็อปป์ ในทีมชุดที่คว้าแชมป์ลีกฤดูกาล 2010-11 พร้อมได้รับการยกย่องให้เป็นกองกลางตัวคุมเกมที่ดีที่สุดของบุนเดสลีก้าในซีซั่นดังกล่าว

 

มิดฟิลด์ชาวตุรกี ย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ในช่วงซัมเมอร์ปี 2011 หลังจากตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับราชันชุดขาวอยู่หลายเดือน แต่ในซีซั่นแรกกับ โลส บลังโก้ เขากลับโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนัก และได้เล่นไปเพียงแค่ 10 นัดเท่านั้น

 

ซาฮิน ถูกปล่อยไปให้กับ ลิเวอร์พูล ยืมตัวในฤดูกาล 2012-13 แต่หลังจากอยู่ค้าแข้งบนเวทีพรีเมียร์ลีกได้เพียงครึ่งปี เจ้าตัวก็ระหกระเหินกลับมาซบตัก ดอร์ทมุนด์ ด้วยสัญญายืมตัว ก่อนจะได้เซ็นสัญญากับเสือเหลืองแบบถาวรในปี 2014 แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บเหมือนเดิม และได้ลงสนามไปแค่ 38 นัดเท่านั้นตลอดระยะเวลา 4 ฤดูกาลหลังสุดที่อยู่กับสโมสร ก่อนที่สุดท้ายจะเป็น แวร์เดอร์ เบรเมน ที่เข้ามารับเจ้าตัวไปดูแลต่อเมื่อปีที่แล้ว

 

ชินจิ คากาวะ

 

 

คล็อปป์ จัดการคว้าตัว ชินจิ คากาวะ มาอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ ในปี 2010 ด้วยค่าตัวเพียง 350,000 ยูโร และตลอดสองฤดูกาลที่ค้าแข้งกับสโมสร เจ้าตัวลงเล่นไป 71 นัด ยิงได้ 29 ประตู แอสซิสต์ไป 16 ครั้ง และมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของบุนเดสลีก้าทั้งสองซีซั่น

 

เพลย์เมคเกอร์จากแดนซามูไร ย้ายไปเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 แม้ คากาวะ จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกตั้งแต่ซีซั่นเปิดตัว แต่เขากลับได้ลงสนามไปเพียงแค่ 26 นัดเท่านั้นรวมทุกรายการ และในฤดูกาลต่อมาภายใต้การนำของ เดวิด มอยส์ เจ้าตัวได้ลงเล่นเพิ่มขึ้นเป็น 30 นัด แต่ไม่สามารถส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้เลยสักลูกเดียว

 

ในปี 2014 คากาวะ คัมแบ็คกลับมาอยู่กับทีมเสือเหลืองอีกครั้ง และที่นี่เขายิงไปได้ทั้งสิ้น 31 ประตู จากการลงสนาม 145 นัด ก่อนที่ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2018-19 เจ้าตัวจะถูกปล่อยยืมตัวไปอยู่กับ เบซิคตัส และต่อมาก็ย้ายไปเล่นในลีกรองของสเปนกับ เรอัล ซาราโกซ่า ในช่วงซัมเมอร์นี้

 

มาริโอ เกิทเซ่

 

 

ซูเปอร์สตาร์หลายรายได้รับการประคบประหงมอย่างดีจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ตั้งแต่อายุยังน้อย และ มาริโอ เกิทเซ่ คือเพชรเม็ดงามที่กุนซือชาวเยอรมันเจียระไนขึ้นมา โดยตลอด 4 ฤดูกาลแรกในสีเสื้อ ดอร์ทมุนด์ เกิทเซ่ ซัดไปถึง 31 ประตู จาก 116 นัด ทั้งที่เล่นในตำแหน่งกองกลาง และพาต้นสังกัดความแชมป์มาครองได้ 3 รายการ ซึ่งสองในนั้นเป็นแชมป์บุนเดสลีก้า พร้อมผงาดซิวรางวัล โกลเด้น บอย มานอนกอดได้ในปี 2011

 

ในปี 2013 ก่อนที่พลพรรคเสือเหลืองจะลงสนามดวลกับ เรอัล มาดริด ในรอบรองชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มีการประกาศว่า เกิทเซ่ จะแปรพักตร์ไปอยู่กับศัตรูตัวฉกาจอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ทั้งนี้ แม้เขาจะยิงได้ฤดูกาลละ 15 ประตู ในสองปีแรกที่เล่นให้กับยอดทีมจากบาวาเรีย แต่อดีตดาวรุ่งมหัศจรรย์รายนี้กลับไม่เคยได้รับสถานะแข้งคนสำคัญที่ได้ออกสตาร์ทอย่างสม่ำเสมอเลย

 

ในฤดูกาลที่สามของตัวรุกชาวเยอรมันกับ บาเยิร์น เขาต้องต่อสู้กับอาการบาดเจ็บเป็นเวลานาน และได้เล่นไปเพียงแค่ 21 เกมเท่านั้น โดยหลังจบซีซั่นดังกล่าว เจ้าตัวเลือกเก็บกระเป๋าย้ายกลับมายัง ดอร์ทมุนด์ อีกหน แต่เวลานั้นนายใหญ่แห่ง ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ก็ไม่ใช่ คล็อปป์ แล้ว

 

ในซีซั่นแรกหลังกลับมาอยู่กับทีมแกร่งแห่งแคว้นรูห์ เกิทเซ่ ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายผิดปกติ ซึ่งทำให้เจ้าตัวต้องหายหน้าไปจากสนามหลายเดือน และหลังกลับมาจากอาการป่วย เขาก็ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้ฟอร์มในอดีตของตัวเองได้อีกเลย พร้อมกลายเป็นเพียงแค่ตัวสแตนบายของทีมเท่านั้นในเวลานี้

 

ฟิลิปเป้ คูตินโญ่

 

 

ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ถือเป็นแม่ทัพเอกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บนถิ่น แอนฟิลด์ และในฤดูกาล 2017-18 เหล่าเดอะค็อปก็หวังที่จะได้เห็น 4 แนวรุกอย่าง คูตินโญ่ , โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ , ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เล่นร่วมกัน อย่างไรก็ตาม คูตี้ กลับพยายามบีบให้สโมสรปล่อยไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ก่อนจะได้ย้ายไปโลดแล่นที่สเปนสมใจในเดือนมกราคมปี 2018

 

พ่อมดน้อยแซมบ้า ถือว่าเริ่มต้นได้สวยกับอาซูลกราน่า แต่ฟอร์มของเจ้าตัวกลับดรอปลงเรื่อยๆ และในฤดูกาลก่อน เขาก็ยิงไปได้แค่ 5 ประตูเท่านั้น จากการลงสนาม 34 เกม ทำให้ในช่วงซัมเมอร์นี้ คูตินโญ่ ถูก บาร์ซ่า เสนอขายไปให้กับสโมสรชั้นนำในยุโรปหลายแห่ง แต่กลับไม่มีทีมไหนกล้าที่จะทุ่มเงินตามที่ยักษ์ใหญ่จากคาตาลันเรียกร้อง ก่อนที่สุดท้ายจะเป็น บาเยิร์น มิวนิค ที่ตัดสินใจยืมตัวเขา โดยพ่วงออปชั่นซื้อขาดที่ 120 ล้านยูโร

 

ส่วนทาง ลิเวอร์พูล พวกเขานำเงินที่ได้จากการขาย คูตินโญ่ ไปลงทุนกับนักเตะใหม่อย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค , อลิสซอน เบ็คเกอร์ และ ฟาบินโญ่ ซึ่งในเวลาต่อมา ผู้เล่นเหล่านี้ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในฤดูกาลล่าสุดมาครองได้สำเร็จ