อย่าห้าวไอ้น้อง : 10 แมตช์หงส์เปิดแอนฟิลด์ซิวผีแดง

 

แมตช์ฟุตบอลคู่หยุดโลกเกม “แดงเดือด” ระหว่าง ลิเวอร์พูล เปิดรังเหย้า แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังจะลงฟาดแข้งกันวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม

 

เกมนัดดังกล่าวถือว่าสำคัญต่อการลุ้นแชมป์ของทั้งทีม โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ในฐานะเจ้าบ้านพวกเขาต้องการเอาชนะ “ปีศาจแดง” เพื่อทวงตำแหน่งจ่าฝูงกลับคืนมา แม้สภาพทีมดูจะมีปัญหาพอสมควร โดยเฉพาะการขาดบรรดาผู้เล่นแนวรับตัวสำคัญอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, โจ โกเมซ และ โจเอล มาติป และมีความเป็นไปได้ที่เราอาจได้เห็นนักเตะดาวรุ่งทั้ง รีด วิลเลี่ยม หรือ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ ลงประจำการตำแหน่งเซ็นเตอร์แทนที่

 

ส่วนทางฝั่ง “ปีศาจแดง” พวกเขาต้องการอย่างน้อย 1 แต้ม เพื่อรักษาตำแหน่งจ่าฝูงครั้งแรกในรอบ 8 ปี ต่อไป ทว่าจากสถิติที่ผ่านมาสำหรับการเยือนเมอร์ซีย์ไซด์ สร้างความหนักใจให้กับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไม่น้อย เพราะตลอด 10 ปีหลังสุด ที่พวกเขามาเล่นยัง แอนฟิลด์ นับเฉพาะเกมลีกทั้งหมด 20 แมตช์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ถึง 8 นัด และไม่เคยชนะที่นี่ได้เลยนับตั้งแต่ปี 2016 รวมทุกรายการ

 

ดังนั้นวันนี้ UFAARENA จะขอพาไปย้อนดูกันว่า 10 แมตช์ในความทรงจำที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะมีเกมไหนกันบ้าง เพื่อเป็นการโหมโรงก่อนเกม “แดงเดือด” วันอาทิตย์นี้

 

 

ลิเวอร์พูล 3 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | ลีกหนึ่ง | 1975

 

ย้อนกลับไปในศึก ลีกหนึ่ง ซีซั่น 1975/1976 เมื่อ ลิเวอร์พูล ซึ่งนำทัพโดยกุนซืออย่าง บ๊อบ เพสลีย์ พร้อมนักเตะระดับตำนาน เอียน คัลลาแฮน และ เควิน คีแกน ต้องเปิดรัง แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ “ปีศาจแดง” คู่ปรับตลอดกาล

 

โดยเกมนัดดังกล่าว “หงส์แดง” โชว์ผลงานได้ดีกว่า และไล่ถล่มเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การทำทีมของ ทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้ ไปแบบขาดลอย 3 – 1 จากการยิงของ สตีฟ ไฮเวย์, จอห์น ทอแช็ก และ เควิน คีแกน คนละหนึ่งประตู ส่วนทางฝั่งผู้มาเยือนได้หนึ่งสกอร์จาก สตีฟ คอปเปล

 

ท้ายสุดฤดูกาลนั่นจบลงด้วยการคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 9 ของ ยอดทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบอันดับ 3 ของตาราง

 

 

ลิเวอร์พูล 4 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | ลีกหนึ่ง | 1990

 

นี่คือหนึ่งในแมตช์ที่ “หงส์แดง” ทำผลงานนัดเจอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดเยี่ยมสุดเลยก็ว่าได้ เมื่อลูกทีม เคนนี่ ดัลกลิช เปิดบ้านเอาชนะคู่ปรับตลอดกาลด้วยสกอร์ขาดลอย 4 – 0 เกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ซีซั่น 1990-1991

 

เกมนัดนั่นเป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ซึ่งทำผลงานได้เหนือกว่าชัดเจน โดยเฉพาะ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ที่ทำแฮททริคในเกมนี้ ส่วนอีกหนึ่งลูกมาจากฝีเท้า จอห์น บาร์นส์ พา “เดอะเรดส์” เอาชนะทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ด้วยสกอร์ 4 – 0

 

โดยนั่นถือเป็นผลการแข่งขันซึ่ง ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดลอยมากสุดในรอบ 65 ปี นับตั้งแต่เกมเมื่อซีซั่น 1925/1926 ซึ่งพวกเขาไล่ต้อนยอดทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ แบบเละเทะ 5 – 0

 

 

ลิเวอร์พูล 2 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | พรีเมียร์ลีก อังกฤษ | 1995

 

ถือเป็นอีกเกมสำคัญที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งกำลังขับเคี่ยวแชมป์กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ต้องเจอศึกหนักบุกมาเยือนถิ่น แอนฟิลด์ ลูกทีมของ รอย อีแวนส์ และมีผู้เล่นอย่าง เจมี เรดแนปป์, สตีฟ แม็คมานามาน, จอห์น บาร์นส์, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และ เอียน รัช เป็นคีย์แมน

 

เกมนัดนี้ ลิเวอร์พูล เจ้าถิ่นทำผลงานได้ดีกว่า ก่อนเอาชนะ “ปีศาจแดง” ด้วยสกอร์ 2 – 0 จากการยิงของ เจมี เรดแนปป์ ส่วนอีกหนึ่งลูก สตีฟ บรูซ ปราการหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำเข้าประตูตัวเอง

 

จากความพ่ายแพ้นัดดังกล่างส่งผลให้ทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พลาดการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 1994/1995 หลังจบเกมนัดที่ 42 ด้วยการมี 88 คะแนน ตามหลังแชมป์อย่าง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 1 แต้ม

 

 

ลิเวอร์พูล 3 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | พรีเมียร์ลีก อังกฤษ | 2001

 

ศึก “แดงเดือด” เมื่อปี 2001 เป็นอีกหนึ่งแมตช์ที่น่าจะอยู่ในความทรงจำของสาวก “เดอะ เรดแมชชีน” หลังยอดทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ เปิดบ้านไล่ถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปด้วยสกอร์ขาดลอย 3 – 1 เกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2001/2002

 

โดยแมตช์นั่น “หงส์แดง” ซึ่งนำโดยผู้เล่นอย่าง เจมี่ คาร์ราเกอร์, เอมิล เฮสกีย์ รวมถึงสองดาวรุ่งตัวเก่ง ไมเคิ่ล โอเว่น และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เอาชนะ “เดอะ เรด อาร์มี” 3 – 1 ด้วยการยิงสองประตูของ โอเว่น และอีกหนึ่งลูกฟรีคิกสุดสวยจาก ยอห์น อาร์เน ริเซ่ ส่วนทางฝั่งผู้มาเยือนได้สกอร์ปลอบใจจาก เดวิด เบ็คแฮม

 

 

ลิเวอร์พูล 1 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | เอฟเอ คัพ รอบ 5 | 2006

 

เป็นอีกเกมที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอล “เดอะ ค็อป” กับการโคจรมาพบคู่ปรับสำคัญอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก เอฟเอ คัพ รอบ 5 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อซีซั่น 2005/2006

 

ลิเวอร์พูล ที่นำทัพโดย ราฟา เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ซึ่งเพิ่งพา “หงส์แดง” คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 5 ในฤดูกาลก่อนหน้านั้น ต้องเปิดบ้านพบกับลูกทีม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่มีสุดยอดนักเตะอย่าง เวย์น รูนี่ย์, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ รุด ฟาน นิสเตลรอย เป็นแกนหลัก

 

เกมนัดดังกล่าว ลิเวอร์พูล เบียดเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 0 โดยได้ประตูชัยจากการโหม่งของ ปีเตอร์ เคร้าช์ อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ก่อนท้ายสุด เบนิเตซ สามารถพาทีมสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 7 ด้วยการปราบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ช่วงดวลจุดโทษในเกมนัดชิงชนะเลิศ

 

 

ลิเวอร์พูล 3 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | พรีเมียร์ลีก อังกฤษ | 2011

 

เรียกได้ว่านี่เป็นเกมที่สะใจแฟนบอลเมอร์ซีย์ไซด์ ไม่น้อยทีเดียว หลัง ลิเวอร์พูล ซึ่งกำลังอยู่ในช่างผลงานย่ำแย่และต้องมาพบกับ “ปีศาจแดง” ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงไล่ล่าแชมป์ลีกสมัยที่ 19 และต้องการ 3 แต้ม เพื่อฉีกหนีคู่แข่งอย่าง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

ทว่าผลการแข่งขันกลับไม่เป็นไปตามที่เฮดโค้ชอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คาดการณ์ไว้ หลังลูกทีม เคนนี่ ดัลกลิช โชว์ฟอร์มได้ดีกว่า และไล่ต้อนผู้มาเยือนไปแบบขาดลอย 3 – 1 จากการเหมาคนเดียว 3 ประตู ของ เดิร์ก เคาท์ ดาวยิงทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้ลูกตีไข่แตกจาก ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ ในช่วงนาทีสุดท้ายของเกม

 

 

ลิเวอร์พูล 2 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | เอฟเอ คัพ รอบ 4 | 2012

 

เป็นอีกครึ่งที่เกม “แดงเดือด” ต้องมาปะทุขึ้นในศึกฟุตบอลถ้วยอันเก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ อย่าง เอฟเอ คัพ รอบที่ 4 เมื่อฤดูกาล 2011/2012 ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่มีประเด็นน่าสนใจเกิดขึ้น เมื่อ หลุยส์ ซัวเรซ ต้องมาเผชิญหน้ากับ ปาทริซ เอวร่า ครั้งแรก หลังทั้งคู่เคยมีปัญหากันเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น เนื่องจากหัวหอกชาวอุรุกวัย ถูกตั้งข้อหาว่าเจตนาเหยียดยิวใส่แบ็คทีมชาติฝรั่งเศส นั่นส่งผลให้เจ้าตัวโดนแบนถึง 8 เกม ส่วน เอวร่า ถูกแฟนบอล “เดอะ ค็อป” ส่งเสียงโห่ทุกจังหวะที่เขาได้สัมผัสบอลแมตช์วันนั้น

 

ส่วนรูปเกมเป็นทางฝั่ง “หงส์แดง” ทีมของ เคนนี่ ดัลกลิช ที่โชว์ฟอร์มได้ดีกว่า และเบียดเอาชนะไปแบบสุดมันส์ 2 – 1 โดย ลิเวอร์พูล ออนนำก่อนจาก แดเนียล แอ็กเกอร์ ก่อนทีมตีเสมอโดย ปาร์ค จี ซอง อย่างไรก็ตามท้ายเกม เดิร์ก เคาท์ กลายเป็นฮีโร่พังประตูชัยนาทีที่ 88 พาต้นสังกัดเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 – 1

 

 

ลิเวอร์พูล 2 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก | 2016

 

ถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองทีมโคจรมาเจอกันเกมฟุตบอลยุโรป ในศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2015/2016 ซึ่งเกมแรกเป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ซึ่งได้ลงเล่นที่บ้านของตัวเองก่อน

 

โดยเกมนัดนั้นลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ประตูขึ้นนำก่อนจากจังหวะซัดจุดโทษของ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ตั้งแต่ช่วง 20 นาทีแรกของเกม ก่อนครึ่งหลัง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ มาบวกเพิ่มอีกหนึ่งลูก ช่วยให้ “หงส์แดง” เปิดรัง แอนฟิลด์ เอาชนะไปก่อนในยกแรก 2 – 0

 

ส่วนเกมนัดสองยังคงเป็น ลิเวอร์พูล ที่ทำได้ดีกว่าสามารถบุกเสมอ “ปีศาจแดง” ได้ถึงถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด 1 – 1 ก่อนร่วมผลสองนัด ทีมของ คล็อปป์ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์รวม 3 – 1

 

 

ลิเวอร์พูล 3 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | พรีเมียร์ลีก อังกฤษ | 2018

 

เป็นเกมที่เพิ่งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2018/2019 และเป็นอีกครั้งสำหรับเกมนัด “แดงเดือด” ซึ่งจบลงด้วยความสะใจของแฟนบอล “เดอะ ค็อป” หลังทีมของกุนซือใหญ่ชาวเยอรมัน ไล่ถล่มคู่อริอย่าง “ปีศาจแดง” ขาดลอย 3 – 1

 

แมตช์ดังกล่าวเจ้าถิ่นออกนำตั้งแต่นาที 24 จากการยิงของ ซาดิโอ มาเน่ ก่อน เจสซี ลินการ์ด มาตามตีเสมอได้ทันควันหลังจากนั้นแค่เพียง 9 นาที อย่างไรก็ตามครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล เริ่มทำได้ดีกว่าขึ้นเรื่อยๆ และมาซัด 2 ลูกรวด จากฝีเท้าของ เซอร์ดาน ชากิรี เหมาคนเดียวสองประตู ช่วยพาทีมเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแบบสุดมันส์ 3 – 1

 

 

ลิเวอร์พูล 2 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | พรีเมียร์ลีก อังกฤษ | 2020

 

แมตช์ “แดงเดือด” นัดล่าสุดซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นที่สนาม แอนฟิลด์ ต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคม ปี 2020 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2019/2020 ที่ผ่านมา

 

เกมนี้ ลิเวอร์พูล ซึ่งกำลังไล่ล่าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ ครั้งแรกในรอบ 30 ปี จัดชุดใหญ่ลงสนาม นำโดยเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน รวมถึงสามประสานแดนหน้า ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เพื่อเป้าหมายคว้า 3 คะแนน

 

เกมนี้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ทำให้แฟนบอล “เดอะ ค็อป” ต้องผิดหวัง หลัง ฟาน ไดจ์ค ทำประตูออกนำให้กับทีมไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 14 หลังจากนั้น “ปีศาจแดง” พยายามเดินหน้าบุกเพื่อตามตีเสมอให้ได้ ทว่าพวกเขากลับมาโดนทีเด็ดช่วงท้ายเกมของ ซาลาห์ ซัดสกอร์ปิดท้ายนาทีที่ 90+3 พา ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบสุดมันส์ 2 – 0