เมื่อลิโอเนล เมสซี่ ประกาศเลิกเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าในซัมเมอร์ปี 2016 แฟนบอลทั่วโลกทุกมุมโลกต่างภาวนาให้เขากลับคำพูดของตัวเองเสีย ซึ่งในฟุตบอลโลกอีก 2 ปีถัดมา ดาวเตะร่างเล็กก็กลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ซึ่งตัวเขาเองก็คงไม่อยากพลาดรางวัลระดับนี้เหมือนนักเตะอีกหลายคนในวงการลูกหนังนี้
แต่ไม่ใช่กับวงการฟุตบอลหญิง ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ แข้งสาวที่ขึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดในโลกอย่าง อาด้า เฮเกอร์เบิร์ก นักเตะชาวนอร์เวย์ เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์หญิงปีล่าสุด กลับไม่โผล่มาโชว์ฝีเท้าเวทีระดับนานาชาติซะอย่างนั้น
เหตุผลที่เธอไม่มา ไม่ใช่เรื่องอาการบาดเจ็บแบบที่นักเตะชายส่วนใหญ่เป็น ในวัย 23 ปี เฮเกอร์เบิร์ก โชว์ฟอร์มได้กับโอลิมปิก ลียง ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมกับพาต้นสังกัดคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้ไปครอง หลังเอาชนะบาร์เซโลน่าไปได้ 4-1 ซึ่งในนัดนั้นเธอทำแฮตทริกได้ด้วย
แต่เพราะเหตุใดกันที่ทำให้ เฮเกอร์เบิร์ก หันหลังให้กับทีมชาติบ้านเกิด ทั้งๆที่อายุยังน้อยแบบนี้ ทาง UFA ARENA จะพาทุกท่านไปหาคำตอบรวมกัน
จุดเริ่มต้นของรอยร้าว
ปัญหาทั้งหมดเริ่มต้นในศึกยูโร 2017 เมื่อทีมชาตินอร์เวย์ทีมหญิงอันดับต้นๆของโลกกลับทำผลงานได้อย่างย่ำแย่เกินรับได้ ถึงขั้นเก็บกระเป๋ากลับบ้านตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม โดยไม่ได้แม้แต่แต้มเดียว หรือแม้แต่ยิงประตูทีมคู่แข่งก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ หากเปรียบกับทีมชาย แค่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายบอลทวีปถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่ทีมหญิง พวกเธอเคยเป็นถึงแชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย (1995) และยูโรอีก 2 สมัย (1987, 1993) ทำให้แข่งเนื้ออ่อนย่อมมีความคาดหวังสูงอยู่แล้ว แต่หลังจบทัวร์นาเมนต์นั้น เฮเกอร์เบิร์ก ก็ช็อคคนทั้งชาติด้วยการประกาศลาทีมชาตินอร์เวย์แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ซึ่งปัญหาที่ทำให้ เฮเกอร์เบิร์ก ตัดสินใจเช่นนั้น เป็นเพราะ สมาพันธ์ฟุตบอลของนอร์เวย์ หรือ เอ็นเอฟเอฟ แม้ว่าเธอไม่เคยถึงเหตุผลว่าทำไมถึงประกาศลาทีมชาติแบบไม่มีกำหนด แต่เธอมักจะต่อว่าสมาพันธ์ลูกหนังในบ้านเกิดว่า ไม่มีความทะเยอะทะยาน, ไม่มีความมืออาชีพพอ และไม่สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อความสำเร็จในทีมหญิงได้
ความข้องใจของเธอเพิ่มมากขึ้นไปอีก เนื่องจากการไร้ความสามารถในการจัดการระบบโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนของวงการลูกหนังนอร์เวย์หญิง ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างน่าคิดหลังประกาศลาทีมชาติไว้ว่า “ฉันรู้สึกเสมอว่าฉันเป็นผู้เล่นที่แย่ เมื่อได้มาเล่นให้ทีมชาติ และมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น”
ประสบการณ์ของ กองหน้าวัย 23 ปีในระดับสโมสรถือว่ามากมายกว่านักเตะคนไหนในรุ่นเดียวกัน เธอพาโอแอลกวาดแชมป์มาครองหมดแล้วในทุกรายการที่ลงเล่น และตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เธอยิงให้ต้นสังกัดไป 259 ประตูจาก 253 นัด มีส่วนทำให้เธอตัดสินหันหลังให้ทีมชาติอย่างไม่ต้องสงสัยด้วย
ดีขึ้น…แต่ยังไม่ดีพอ
หลายๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับทีมชาตินอร์เวย์พยายามทำทุกวิธีทางเพื่อให้ดาวเตะเบอร์หนึ่งกลับคำมาเล่นให้ทีมชาติอีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือ มาร์ติน ชอว์เกรน เฮ้ดโค้ชของทีม ที่พยายามเกลี่ยกล่อม แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยืนยันคำเดิม
“เราพยายามแก้ไขเรื่องนี้แล้ว เรามีการประชุมกัน แต่เธอตัดสินไม่เล่นให้ทีมต่อไป” ชอว์เกรนกล่าว
อีกหนึ่งปัจจัยที่ให้ เฮเกอร์เบิร์ก ไม่พอใจกับสมาพันธ์เป็นอย่างมากคือเรื่องเงินๆทองๆ แม้ในระดับสโมสร เธอเป็นนักเตะหญิงที่ได้ค่าจ้างมากที่สุดในโลก แต่ค่าเหนื่อย £343,000 ต่อปี มันเทียบไม่ได้กับฟุตบอลชายเลย และในทีมชาติพวกเธอมักจะได้น้อยกว่าทีมชายอยู่พอสมควร
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทุกอย่างในวงการลูกหนังนอร์เวย์หญิงก็ดูดีขึ้นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการผ่านเข้ารอบสุดท้ายในฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศสได้อย่างสวยงาม แถมในปีนี้ สมาคมได้ให้เงินลงทุนในทีมหญิงมากกว่าทีมชายด้วย และกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการจ่ายค่าเหนื่อยผู้เล่นหญิงและชายเท่าเทียบกัน หลังจากที่ เฮเกอร์เบิร์ก ลาทีมชาติไปหลายเดือน
อย่างไรก็ตาม แข้งสาววัย 23 ปีก็ยังไม่พอใจกับผลงานของสมาคมเท่าไหร่นัก เธอไม่ได้เลิกเล่นทีมชาติเพื่อประท้วงแค่เรื่องค่าเหนื่อยเท่านั้น แต่มันเกี่ยวกับการทำให้ผู้คนรับรู้ในกีฬาฟุตบอลของเพศหญิง และเชื่อว่าตัวเธอเองกับเพื่อนร่วมทีมสามารถก้าวขึ้นไปเป็นนักเตะที่ทีมาตรฐานสูงและเติมไปด้วยความมืออาชีพ
เฮเกอร์เบิร์กกล่าว CNN ว่า “นี่เป็นเรื่องยากในการเล่นฟุตบอล ชัดเจนว่าตัวฉันอยากรับใช้ทีมชาติ ฉันมักจะวิจารณ์ใส่สมาพันธ์ตรงๆเสมอว่าตัวเองรู้สึกไม่ดีพอที่จะเล่นให้ทีมชาติ”
“สุดท้ายทางเลือกที่ง่ายที่สุดคือการเดินหน้าในเส้นทางค้าแข้งต่อไป ฉันเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างออกมาชัดเจนตลอด มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงินเสมอไป แต่มันเกี่ยวกับการเตรียมตัว, การทำผลงาน, ความเป็นมืออาชีพ ซึ่งฉันพุ่งเป้าไปที่พวกเขาตรงๆนะ เมื่อฉันได้ตัดสินใจเรื่องนั้น (ลาทีมชาติ) ไปแล้ว”
จิตใจที่แน่วแน่
แม้ตัว เฮเกอร์เบิร์ก จะเลิกเล่นให้นอร์เวย์ไป 2 ปีแล้ว แต่ในสัปดาห์นี้ สถานการณ์หรือเรื่องราวเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง
ในวันพุธที่ผ่านมา Josimar นิตยสารชื่ออดังในนอร์เวย์ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์สุดพิเศษของแข้งสาวจากลียง ซึ่งในเล่มนั้นเธอได้อธิบายถึงจุดยืนของตัวเองในเรื่องนี้ ซึ่งเธอรู้สึกว่า สมาพันธ์ไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของทีมหญิงได้เลย นับตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาในทีมเยาวชนด้วยวัยเพียง 15 ปีเท่านั้น “เรายังไม่ได้จัดการฟุตบอลทีมชาติหญิงอย่างจริงจังเลย ไม่มีรูปแบบในการฝึกซ้อม ทั้งคุณภาพหรือความต้องการที่จะพัฒนาขึ้นด้วย” เธอกล่าว
นอกจากนี้เฮเกอร์เบิร์กยังบอกด้วยว่าการเล่นให้ทีมชาตินอร์เวย์ทำให้เธอถึงขั้นฝันร้ายและรู้สึกย่ำแย่อีกด้วย
มีอดีตนักเตะหญิงหลายคนที่สับสนการตัดสินใจของเธอในเรื่องนี้ เช่น ฮีเธอร์ โอเรลลี อดีตแข้งสาวทีมชาติสหรัฐอเมริกาบอกว่า ถ้าจะไม่เล่นให้ทีมชาติในบอลโลก ก็น่าจะมีเหตุผลที่ชัดเจนกว่านี้หน่อย หรือ อดีตแข้งทีมชาติของอเมริกาอย่าง อเล็กซี่ ราลาส ก็คิดว่าตัวเธอจะต้องเสียใจที่ไม่ยอมเล่นให้ทีมชาติในบอลโลกครั้งนี้แน่นอน
แต่ถึงกระนั้น เฮเกอร์เบิร์กเองกลับบอกว่าตัวเองสบายใจเป็นอย่างมากกับการตัดสินใจในครั้งนั้น โดยกล่าวกับนักข่าวของ ESPN ว่า “ฉันจะดูฟุตบอลโลกในครั้งนี้แน่นอน ฉันมีเพื่อนร่วมทีมอยู่มากมายที่เล่นอยู่ในทัวร์นาเม้นต์นั้น แต่ทว่าฉันไม่ได้มีอารมณ์เสียใจอะไรเลย ฉันมั่นใจกับการตัดสินใจของฉันตั้งแต่วันแรกที่พูดออกไป ซึ่งมันทำให้ฉันก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่าง บัลลงดอร์ ด้วยล่ะ”
ไม่ว่าทีมชาตินอร์เวย์จะประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกครั้งนี้หรือไม่ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือตัวเธอเองก็ต้องการไปโชว์ฝีเท้าในศึกครั้งนั้นไม่น้อยอยู่เหมือนกัน หลังจากทำแฮตทริกช่วยให้ลียงเอาชนะบาร์ซ่าในรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีกได้ เธอได้หยิบธงชาตินอร์เวย์ดินแดนเกิดชูขึ้นเหนือหัวไปมา พร้อมกับนำมาสวมกับตัวด้วย และกล่าวในวันนั้นว่า “ฉันคิดถึงการเล่นให้ทีมชาติจริงๆ”
“เพียงแต่ไม่ใช่กับสมาพันธ์ชุดนี้เท่านั้นเอง”