ก่อนที่ “โคโรน่าไวรัส” จะมาแพร่กระจายจนทำให้โลกลูกหนังต้องหยุดชะงัก และยังไม่สามารถรู้ได้ว่าจะคัมแบ็กกลับมาฟาดแข้งเมื่อไหร่
ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีนักเตะอยู่ 1 คนที่กลายเป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” หลังตะบัน 4 เม็ด ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่ได้ทำกันง่ายๆ
ชายคนนั้นก็คือ โจซิป อิลิซิซ จากอตาลันต้า
จริงๆ แล้วดาวเตะทีมชาติสโลวีเนีย ทำผลงานอยู่ในระดับที่ดีมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นสมัยอยู่ ปาแลร์โม่ หรือ ฟิออเรนติน่า ทว่าการย้ายมาอยู่กับ แบร์กาโม่ ยิ่งทำให้เลเวลเจ้าตัวถีบสูงขึ้นไปอีก
น่าเสียดายที่มาพีกเอาตอนแก่ เพราะตอนนี้เจ้าตัวก็วัยปาไป 32 ปีแล้ว ถ้าถอยหลังไปสัก 4-5 ปีแล้วฟอร์มแบบนี้ บอกเลยหัวกระไดไม่แห้งอย่างแน่นอน
เห็นผลงานของ อิลิซิซ ในตอนนี้ ด้วยวัยขนาดนี้ เลยทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจ นอกจากเจ้าตัวแล้วมีนักเตะคนไหนอีก ที่เส้นทางค้าแข้งดูเรียบง่าย แต่ดันมา “ปัง” เมื่อตอน 30
งานนี้ไปเปิดแฟ้มลับชั่วโมงพิศวงได้มา 5 ชื่อที่เชื่อว่าแฟนๆ อย่างพวกคุณน่าจะ “พยักศรีษะ” ยอมเห็นด้วยได้ไม่ยากเลย
โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์
ช่วงพีก : 28 ปี
ดาวเตะที่เกิดในเมืองคาร์ลสรูห์ มีเส้นทางลูกหนังที่แสนจะธรรมดา การค้าแข้งในประเทศบ้านเกิดเรียกว่าโนเนมเลยก็ว่าได้ เพราะทั้ง เออร์ดิ้งเก้น, ฮัมบวร์ก หรือ กลัดบัค แทบจะล้มเหลวทั้งหมด
จุดเปลี่ยนหลักๆ คือการมาเล่นให้กับ ซัลซ์บวร์ก ในออสเตรีย ที่กลายเป็นโปรไฟล์ไปต่อยอดในลีกอิตาลี ค่อยๆ ไล่จาก เซเรีย บี มายัง เซเรีย อา สุดท้ายฟอร์มกับ อูดิเนเซ่ ก็ดีพอให้เข้าติดทัพ “อินทรีเหล็ก”
และทัวร์นาเมนต์ ยูโร 1996 กับประตูชัยแบบโกลเด้นโกลในนัดชิงชนะเลิศกับ สาธารณรัฐเช็ก กลายเป็นจุดสร้างชื่อให้โลกลูกหนังได้รู้จักชายที่ชื่อ “โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์”
แกรี่ แมคอัลลิสเตอร์
ช่วงพีก : 36 ปี
เอาจริงๆ เส้นทางชีวิตของ แมคอลัลลิสเตอร์ ถือว่าไม่ธรรมดา ช่วงที่เขาค้าแข้งอยู่กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็เป็นอีกหนึ่งจุดพีกที่ดีพอถึงขั้นคว้าแชมป์สูงสุดของอังกฤษ ในชื่อเดิมที่เรียกกันว่า ดิวิชั่น 1
อย่างไรก็ตามการย้ายมาอยู่กับ โคเวนทรี ทำให้ชื่อของเขาดาวน์ลง และเกิดคำถามตัวใหญ่ๆ ว่าทำไม ลิเวอร์พูล ในยุคของ เชราร์ อุลลิเยร์ ถึงไปเซ็นฟรีดาวเตะที่โรยราไปแล้วมาร่วมทีม
ทว่าในวัย 35 ปี แมคอัลลิสเตอร์ แสดงให้เห็นว่าเขายังเตะปี๊ปดังอยู่ เพียงปีแรกที่อยู่กับทีมก็สามารถช่วยให้ต้นสังกัดคว้าทริปเบิ้ลแชมป์บอลถ้วย โดยเจ้าตัวมีหลายๆ ประตูที่น่าจดจำโดยเฉพาะลูกยิงฟรีคิก 44 หลาในเกม เมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้แมตช์
อาริตซ์ อาดูริซ
ช่วงพีก : 34 ปี
หาไม่มีชื่อของ อาดูริซ อยู่ในโผล่นักเตะ “ขิงแก่” ผู้เขียนคงโดนด่าอ่วมแน่ เพราะนี่คือหนึ่งในนักเตะที่เห็นภาพชัดที่แล้ว โดยเฉพาะในฤดูกาล 2015-16 ที่ยิงกระจายถึง 30 ประตูนับรวมทุกรายการ มีดีกรีเป็นดาวซัลโวยูโรป้าลีก และติดโผทีมชาติสเปน ไปลุยยูโร 2016
การกลับมาค้าแข้งกับ บิลเบา ในคำรบสองถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะเวลา 8 ฤดูกาลจนอายุ 39 ปี เจ้าตัวยิงใน ลา ลีกา สเปน ไปแล้ว 110 ประตู มากกว่าช่วงหนุ่มๆ เกือบเท่าตัวเลยทีเดียว
อันโตนิโอ ดิ นาตาเล่
ช่วงพีก : 32 ปี
เจ้าชายแห่ง อูดิเนเซ่ คือหนึ่งในนักเตะที่อยู่ดีๆ ก็มาเก่งเอาตอนแก่เฉย เล่นในเซเรีย อา อิตาลี มา 7 ปีก่อนหน้านี้เก่งที่สุดคือยิงได้ 17 ประตูต่อฤดูกาล แต่อยู่ดีๆ พออายุแตะ 32 ปี ฟอร์มฟ้าประทานก็ลงมาจุติ
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2009-10 ดิ นาตาเล่ กลายเป็นเครื่องจักรถล่มประตู ยิงขั้นต่ำ 20 ลูกได้ 4 ฤดูกาลติดต่อกัน พ่วงดีกรีดาวซัลโวลีกสูงสุดมักกะโรนีอีก 2 สมัย (2009-10, 2010-11) เรียกว่านาทีนั้นปล่อยน้าแกง้างเท้ายิงไม่ได้เลย
น่าเสียดายที่ระดับสโมสรพีกจัดขนาดนี้ แต่ในเวทีระดับชาติกับเปรี้ยงอย่างที่คิด 4 ปีที่พีกๆ กับ อูดิเนเซ่ เจ้าตัวกลับยิงได้แค่ 2 ลูกในนามทีมชาติอิตาลีเท่านั้น
มาร์กอส เซนน่า
ช่วงพีก : 32 ปี
ด้วยความเป็นนักเตะประเภทปิดทองหลังพระทำให้ผลงานในสนามแทบจะไม่เตะตาใครเลย เล่นกับ บีญาร์เรอัล ก็ดีแบบเงียบๆ แทบไม่มีคนพูดถึง จนกระทั่ง หลุยส์ อรานโกเญส ดึงมาติดทีมชาติสเปน ในปี 2006
นับตั้งแต่นั้นมา เซนน่า กลายเป็นมิดฟิลด์ที่ “กระทิงดุ” ขาดไม่ได้ นอกจากตัดเกมดีแล้ว อาวุธในเกมรุกก็ครบเครื่องทั้งบอลยาว ยิงไกล และความชัวร์ในการยิงจุดโทษ
ดาวเตะแซมบ้า พาทัพ “กระทิงดุ” คว้าแชมป์ยูโร 2008 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของทัพ “ลา โรฆา” ซึ่งบรรดานักข่าวต่างยกย่องให้ เซนน่า ที่ปัจจุบันอายุ 43 ปี คือสตาร์เด่นของทัวร์นาเมนต์นั้นเลย
