ฮาเวิร์ตซ์เอาไว้ก่อน : วิเคราะห์ปัญหาเกมรับสุดละเหี่ยใจในทีมสิงห์บลู

 

ความพ่ายแพ้ต่อ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 3-0 ของ เชลซี หมายความว่า การคว้าตั๋วผ่านเข้าไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลหน้า ไม่ได้อยู่ในกำมือของพวกเขาแบบ 100 เปอร์เซนต์อีกต่อไป

 

นี่ถือเป็นความปราชัยที่ย่อยยับมาก ณ สนามบรามอล เลน ทีมฉายา ‘สิงห์บลู’ ได้ครองบอลถึง 75.9 เปอร์เซนต์ และมีโอกาสทำประตูถึง 15 ลูก ขณะที่เจ้าบ้านมีเพียง 9 ลูก แต่ท้ายที่สุด ทีมดาบคู่ก็เป็นฝ่ายที่ทำผลงานโดยรวมได้ดีกว่าชัดเจน

 

เชลซี ยังคงรั้งอันดับ 3 ในตารางอยู่ตอนนี้ แต่พวกเขามีแต้มเหนือ เลสเตอร์ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียงแต้มเดียว กับ 2 แต้ม ตามลำดับ ทำให้พวกเขาต้องคว้าชัยจากเกมในมือให้ได้เป็นอย่างน้อย และภาวนาให้คู่แข่งสะดุดเอง หากยังหวังตำแหน่งนี้

 

นี่ถือเป็นความเสียหายอย่างมากกับสโมสรที่เสริมทัพไปแล้วกว่า 83.7 ล้านปอนด์ เพื่อคว้า 2 แนวรุกเข้าในฤดูกาล 2020-21 ซึ่งก็คือ ฮาคิม ซีเยค เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของ อาแจ็กซ์ และ ติโม แวร์เนอร์ ดาวยิงฟอร์มแรงจากแอร์เบ ไลป์ซิก นอกจากนี้ยังมีข่าวลือยื่นข้อเสนอคว้า ไค ฮาเวิร์ตซ์ จากไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัว 90 ล้านปอนด์ 

 

การเซ็นสัญญาในลักษณะนี้ เชลซีจำเป็นต้องผ่านเข้าไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกให้ได้สถานเดียวเท่านั้น แต่ถึงแม้การได้นักเตะเหล่านี้มา พวกเขาจะดีพอในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกหรือไม่? ถ้ายึดหลักฐานจากฟอร์มการเล่นในช่วงนี้ คำตอบก็คงไม่แน่นอน

 

ไม่ใช่เพราะพวกเขายิงประตูได้น้อยนิด บรรดาดาวรุ่งในเกมรุกโชว์ผลงานได้ค่อนข้างน่าประทับใจ อีกทั้งพวกเขายังยิงไปถึง 13 ประตู จาก 7 เกมลีกในช่วงรีสตาร์ท และเกมพ่าย เชฟฟิลด์  ยูไนเต็ด คือนัดแรกที่ทีมทำประตูคู่แข่งไม่ได้ เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เราหมายถึงคือเกมรับ

 

ทาง UFA ARENA จะพาไปวิเคราะห์ผ่านบทความชิ้นนี้ว่าทำไม เชลซี ถึงต้องล้มเลิกการคว้า ดาวเตะห้างขายยา และควรปรับปรุงยกระดับเกมรับด้วยการคว้ากองหลังฝีเท้าเยี่ยมมานำทางเพื่อนๆที่เหลือในเกมรับเพื่อแชมป์ในอนาคต

 

 

ยิงเยอะก็เสียเยอะ

 

 

13 ประตูจาก 7 เกม ถือว่าไม่เลวเลย แต่ในขณะเดียวกัน เชลซีก็เสียประตูถึง 10 ลูก ซึ่งมาจากเกมที่โดน เวสต์แฮม พลิกแซง 3-2,  เฉือนชนะ คริสตัล พาเลซ 3-2 และโดนดาบคู่อัด 3-0 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

 

ผลต่างประตูได้เสียของ เชลซี ในฤดูกาลนี้อยู่ที่ +14 ซึ่งว่าค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับ แมนเชสเตอร์  ยูไนเต็ด (+26), เลสเตอร์ (+32) และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (+57) สาเหตุหลักที่เป็นแบบนั้นเพราะพวกเขาเสียประตูไปถึง 49 ลูกในฤดูกาลนี้ มากกว่าอาร์เซน่อล ทีมอันดับ 9 ในตารางเสียอีก (42 ลูก)

 

ในสมัยเป็นนักเตะ แฟรงค์ แลมพาร์ด มักจะมีคนที่คอยเล่นเกมรับให้เขา และทีมเชลซีที่เขาคุมอยู่ในปัจจุบัน ก็ยังเล่นแบบนั้นอยู่ ด้วยการคาดหวังให้ใครซักคนจัดการเก็บกวาดในเกมรับ แต่คู่หูเซ็นเตอร์แบ็คอย่าง อันเดรส คริสเตนเซ่น กับ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กลับกลายเป็นตัวตลกในเกมรับ ขณะที่ เคิร์ท ซูม่า ก็ยังทำได้ไม่ดีไปกว่า 2 คนข้างต้นซักเท่าไหร่

 

มากไปกว่านั้น มันไม่ได้แย่แค่ตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คเท่านั้น แต่รวมไปถึงตำแหน่งฟูลแบ็คของทีม (ที่หลายคนไม่คิดว่า เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า จะเป็นฟอร์มตกแบบนี้) และ เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า ที่เซฟประตูได้ไม่สมราคาสถิตินายทวารแพงสุดในโลก หากกล่าวโดยสรุป การป้องกันของเชลซีนั้นน่าผิดหวังและเป็นสิ่งที่ตาหลอกหลอนแฟนๆประจำในฤดูกาลนี้

 

 

ฟาน ไดจ์ค กับ ลิเวอร์พูล คือกรณีศึกษา

 

 

แน่นอน เมื่อรวมเรื่องนี้กับการจู่โจมเล่นเกมบุกแบบสายฟ้าแลบ ทำให้เชลซี เป็นหนึ่งในทีมที่เล่นได้น่าตื่นเต้นสุดๆบนจอแก้ว ทว่านับตั้งแต่พวกเขาประเดิมสปอนเซอร์ใหม่โดย ทรี (Three) ใน 4 เกมหลังสุด พวกเขาทำไป  3 ประตูในเกมเดียว 2 ครั้ง แต่อีก 3 ประตู จาก 2 เกมที่เหลือก็มาจากคู่แข่ง

 

นั่นถือเป็นจุดอ่อนใหญ่ที่สุดที่ เชลซี มองข้ามมาโดยตลอด และ 2 ตัวรุกหน้าใหม่ราคารวมกัน 170 ล้านปอนด์ คงไม่ช่วยแก้ไขปัญหานี้แน่นอน 

 

หลังเกมที่พ่าย ดาบคู่ แฟรงค์ แลมพาร์ด กล่าวว่า “ผมได้เรียนรู้มากเลย ผมจะไม่ลืมมันเลย” และถ้า กุนซือสิงห์บลูเรียนรู้ในเรื่องนี้จริงๆ เขาควรเบนเข็มจาก ไค ฮาเวิร์ตซ์ เพื่อหากองหลังฝีเท้าดีมาอุดรอยรั่วของทีมในเร็วๆนี้

 

ถ้าหาก ฮาเวิร์ตซ์ จำเป็นต่อทีมจริงๆ เขาก็ต้องมั่นใจว่าเชลซีจะใช้เงินลงทุนในตลาดนักเตะมากกว่านี้อีก เพราะพวกเขาต้องการกองหลังคนใหม่จริงๆ ซึ่งนั่นอาจช่วยกระตุ้นให้ เกป้า ทำผลงานได้ประทับใจมากขึ้น 

 

นายด่านชาวสแปนิช มีฤดูกาลที่ไม่ดีเท่าไหร่ในปีนี้ แต่การมีปราการระดับโลกซักคนยืนประคองอยู่ตรงหน้า น่าจะทำให้ เกป้า มีกำลังใจและโล่งใจมากกว่ามี คริสเตนเซ่น หรือ รูดิเกอร์ ยืนอยู่แน่นอน

 

นอกจากนี้ ตำแหน่งแบ็คซ้าย คืออีกจุดที่ทีมต้องการ และไม่ใช่แบ็คสารพัดประโยชน์ที่ขยับมาเล่นเป็นกองหลังได้ แต่ต้องเป็นแบ็คซ้ายธรรมชาติที่ทำผลงานได้โดดเด่นในจุดนั้นจริงๆ และทำให้ อัซปิลิกวยต้า อาจไปเล่นเป็นแบ็คขวาที่เขาถนัดเสียที

 

ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล คือทีมที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ซึ่งย้อนกลับไปในฤดูกาล 2017-18 หงส์แดงกลายเป็นทีมที่มีเกมรุกอันตรายเป็นอันดับต้นๆของยุโรป และได้เข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีกด้วย แต่ถึงแม้จะทำประตูได้มากมาย พวกเขาก็ทำแต้มหล่นหลายครั้ง จนมีคะแนนตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์ลีกในปีนั้นถึง 25 แต้ม

 

แต่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็เปลี่ยนไปราวกับคนละทีม หลังจากการมาของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญในเกมรับ ยกให้ระดับให้การป้องกันของทีมให้สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเสียประตูน้อยที่สุดของลีกในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา

 

นั่นทำให้ เชลซี จำเป็นต้องคว้านักเตะคล้ายๆกับที่ ลิเวอร์พูล เคยแสดงให้เห็น คนที่สามารถจัดการและเป็นผู้นำตัวจริงในแผงแบ็คโฟร์ ช่วยดึงศักยภาพเพื่อนร่วมทีมทำผลงานได้ดีขึ้น ซึ่งเอาจริงๆ กองหลังที่พวกเขามีก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร เพียงแค่ขาดการจัดระเบียบและผู้นำที่จะเป็นเสาหลักให้พวกเขาได้ก็เท่านั้น

 

 

หรือคูลิบาลี่คือคำตอบ?

 

 

 ณ เวลานี้มีกองหลังคนเดียวที่มีโอกาสย้ายทีมมากที่สุดในตลาดนักเตะซัมเมอร์ และคนๆนั้นก็คือ คาลิดู คูลิบาลี่ ปราการหลังจอมแกร่งของ นาโปลี (จริงๆ ซามูเอล  อุมติตี้ ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว ถ้าเขาไม่มีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า)

 

แข้งทีมชาติเซเนกัล เป็นหัวใจหลักในแผงหลังของ อัซซูร่า นับตั้งแต่ปี 2014 และถือเป็นกองหลังเบอร์ต้นๆของเซเรียอาในปัจจุบันด้วย แต่เขาก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากเกี่ยวกับเรื่องย้ายทีมในตอนนี้

 

“ในฟุตบอล คุณไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่พูดกับ นาโปลี เรื่องย้ายทีม ถ้าเราต้องหาทางแก้ไข เราก็จะพบมัน แต่ผมไม่เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องตลาดนักเตะเลย” คูลิบาลี่ กล่าวถึงอนาคตของตัวเองกับ กาเซตต้า เดลโล่ สปอร์ต

 

“เราค่อยมาดูกันว่าประธานสโมสรจะตัดสินใจอย่างไร และถ้าเขายื่นข้อเสนอขยายสัญญาให้ นั่นคงทำให้ผมปิดฉากอาชีพค้าแข้งที่นี่”

 

แต่ก็อย่างที่ใครหลายคนทราบกันดีว่า ออเรลิโอ เดอ ลอเรนติส ประธานของนาโปลี พร้อมจะปล่อยนักเตะคนสำคัญของตัวเองทันที หากได้ข้อเสนอที่สมราคาค่าตัว และ ดูลิบาลี่ ดูเหมือนจะเป็นรายต่อไป

 

แข้งวัย 29 ปี ตกเป็นข่าวกับทีมดังมากมาย รวมไปถึง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล 2 ทีมเบอร์เบอร์ต้นๆของแดนผู้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความ เชลซี จะหมดโอกาสคว้าเขามาร่วมทีม หลังแสดงให้เห็นมาแล้วในดีลปาดหน้าคว้า แวร์เนอร์ อีกทั้งเรื่องเงินกับความสำเร็จในอดีตก็มีไม่ด้อยไปกว่าใครๆ และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องทำ หากต้องให้ทีมยกระดับขึ้นไปอีกขั้น

 

ถ้ามันหมายถึงทีมพลาดโอกาสคว้า ฮาเวิร์ตซ์ ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมดี เพราะในตอนนี้ เชลซี มีคุณภาพและมิติในเกมรุกที่ยอดเยี่ยมพอแล้ว การคว้า ซีเยค และ แวร์เนอร์ ยิ่งตอกย้ำว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ใครเพิ่มในจุดนี้ด้วยซ้ำ 

 

 

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ทีมโหยหาจริงคือนักเตะอย่าง คาลิดู คูลิบาลี่ ในแผงหลัง ที่สามารถเป็นที่พึ่งพาในเกมรับ และทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้เกมรุกของทีม

 

จะว่าไปแล้ว เชลซีในตอนนี้ ก็มีสภาพคล้ายคลึงกับ นิวคาสเซิล ในช่วงกลางยุค 90 พวกเขามีเกมรุกที่สุดยอด, ดุดัน และลีลาการเล่นที่น่าติดตามชมในทุกๆสัปดาห์ แต่ด้วยเกมรับที่ค่อนข้างแย่ ทำให้พวกเขาทำได้แค่รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเท่านั้น แม้จะเป็นที่จดจำของแฟนบอล แต่ก็ไม่มีแชมป์ระดับเมเจอร์ติดไม้ติดมือแม้แต่รายการเดียวในช่วงเวลานั้น

 

ส่วน เชลซี ก็เป็นสโมสรที่กำลังตามหาความสำเร็จหลังห่างหายไปนาน และ โรมัน อับราโมวิช เจ้าของทีมชาวรัสเซียน ก็พร้อมกับปลดผู้จัดการทีมพ้นตำแหน่ง หากเขามองว่าคนๆนั้นไม่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต่อไปได้ 

 

ดังนั้น แฟนบอลทั่วไปคงยินดีที่จะเห็น เชลซี เป็นแค่ทีมจอมเอนเตอร์เทนต์ อย่างที่ นิวคาสเซิล เคยทำได้ แต่แฟนบอลของสโมสร และเจ้าของทีมต่างต้องการความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากกว่า ซึ่งจริงๆพวกเขาก็มีศักยภาพในการคว้าแชมป์ลีก หรือบอลถ้วยในประเทศหรือระดับทวีปอยู่แล้ว

 

แต่ถ้าไม่มี กองหลังระดับโลกอย่าง คาลิดู คูลิบาลี่ หรือระดับที่ใกล้เคียงกันอยู่ในทีมตอนนี้ เชลซีก็เลิกหวังและลืมถึงการคว้าแชมป์ไปได้เลย