เกิดเร็วอาจร่วงเร็ว : 10 แข้งดาวดังปังปีเดียวก่อนดับสนิทหลังย้ายทีม

 

ทีมยักษ์ใหญ่มากมายในยุโรปต่างควักเงินมหาศาลเพื่อคว้าตัวแข้งดาวเด่นหรือนักเตะดาวรุ่งมาร่วมทีมในซัมเมอร์นี้ แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะโชว์ฟอร์มได้เปรี้ยงปร้างแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น

 

อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คว้า อารอน วาน-บิสซาก้า จากคริสตัล พาเลซ มาอุดรอยรั่วในตำแหน่งแบ็คขวา, แอตเลติโก มาดริด ที่ดึง ชูเอา เฟลิกซ์ มาด้วยค่าตัวกว่า 126 ล้านยูโร หรือ แม้แต่ เรอัล มาดริด ทีมอริร่วมเมืองของตราหมี ก็จัดหนักดึง ลูก้า โยวิช กองหน้าฟอร์มแรงจากไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต มาเสริมแกร่งในแนวรุก

 

แม้ว่าหลายคนพอจะเห็นฟอร์มของนักเตะเหล่านี้ไปบ้างแล้วในช่วงพรีซีซั่น แต่เวลาเท่านั้นจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าการลงทุนครั้งนั้นคุ้มค่ากับที่สโมสรเสี่ยงไปหรือไม่ และทาง UFA ARENA ก็หวังไว้ลึกๆว่า นักเตะเหล่านั้นจะไม่กลายเป็นดาวดังปังแค่ปีเดียวเหมือนกับ 10 แข้งที่เรากำลังจะพูดถึงในบทความนี้นะ

 

 

ชาร์ลี อดัม (ลิเวอร์พูล) 

 

 

อดัมช่วยให้แบล็คพูลเลื่อนชั้นจากแชมเปี้ยนส์ชิพมาเล่นในลีกสูงสุดแดนผู้ดีแบบสุดเซอร์ไพรส์ในฤดูกาล 2009-10 ซัดไปทั้งสิ้น 20 ประตูจากทุกรายการที่ลงเล่น ซึ่ง 1 ในนั้นคือลูกยิงในนัดชิงเพลยอ็อฟกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ด้วย

 

ในฤดูกาลต่อมา  ฟอร์มการเล่นของกองกลางชาวสก็อตก็ยังร้อนแรงไม่เปลี่ยนหลังยิงไป 12 ประตูในพรีเมียร์ลีก แต่ทว่าก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมของเอียน ฮอลโลเวย์รอดจากการตกชั้นในปีนั้นได้ ทำให้แบล็คพูลได้โลดแล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษแค่ปีเดียวเท่านั้น

 

 โชคดีของแข้งแดนวิสกี้ ที่ฟอร์มของเขาไปเข้าตาลิเวอร์พูล ก่อนจะย้ายมาสวมเครื่องแบบหงส์แดงด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม 12 เดือนในถิ่นแอนฟิลด์ซึ่งมี เคนนี่ ดัลกริช คุมทีมอยู่ในตอนนั้น อดัมแทบไม่มีผลงานอะไรให้จดจำเลย จากนั้นก็ถูกปล่อยให้สโต้ค ซิตี้ไปในปีต่อมา ปัจจุบัน แข้งวัย 33 ปี ได้ย้ายไปร่วมทีมเร้ดดิ้งในแชมเปี้ยนส์ชิพ เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา

 

 

อฟอนโซ่ อัลเวส (มิดเดิ้ลสโบรห์)

 

 

เมื่อไหร่ก็ตามที่แฟนบอลสิงห์แดงได้ยินชื่อของ อฟอนโซ่ อัลเวส เป็นต้องเจ็บจิ๊ดทุกที เนื่องจากหลายคนเชื่อว่ากองหน้าชาวบราซิลจะประสบความสำเร็จในอังกฤษ เมื่อได้ย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัว 12.5 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรในเดือนมกราคม 2008 หลังโชว์ฟอร์มโหดซัดไป 48 ประตูจาก 50 นัด ตลอด 18 เดือนที่ค้าแข้งในเฮเรนวีน

 

หลายๆอย่างดูเป็นใจในช่วงแรกที่อัลเวสย้ายมาค้าแข้งในถิ่น ริเวอร์ไซด์ หลังยิงไปทั้งหมด 6 ประตูจาก 11 เกมแรก แต่ทว่าในเวลาต่อมา หัวหอกแดนแซมบ้าก็ถูกวิญญานสากเข้าสิงและลืมวิธียิงประตูไปแบบดื้อๆ เมื่อซัดเพิ่มได้แค่ 4 ประตูในลีกเท่านั้น จากนั้นจึงย้ายไปเล่นในลีกกาตาร์ ช่วงซัมเมอร์ปี 2009 และ แขวนสตั๊ดไปในปี 2015 หลังกลายเป็นนักเตะไร้สังกัดนาน 2 ปี

 

 

ไตตัส บรัมเบิ้ล (นิวคาสเซิล)

 

 

มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อซักหน่อยในตอนนี้ แต่ ไตตัส บรัมเบิ้ล เคยทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2000-01 ช่วยให้อิปสวิช ทาวน์ ซึ่งเป็นทีมน้องใหม่ในพรีเมียร์ลีกจบอันดับ 5 แบบไม่น่าเชื่อมาแล้ว ก่อนจะย้ายมาร่วมทีมนิวคาสเซิลด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์ หลังทีมม้าขาวตกชั้นไปในฤดูกาล 2001-02

 

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความผิดพลาดและจังหวะเสียประตูที่เกิดจากกองหลังชาวอังกฤษอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเราสามารถพบเห็นได้อย่างง่ายดายใน ยูทูป นอกจากนั้น แข้งวัย 37 ปีที่ลงเล่นให้กับ สโตว์มาร์เก็ต ทาวน์ ในปี 2017 ยังได้การโหวตจาก The Chronicle สื่อในอังกฤษ ว่าเป็น 11 ผู้เล่นสุดห่วยที่สาลิกาดงเคยคว้ามาร่วมทีมเลยทีเดียว

 

 

ดานี่ กีซ่า (เฟเนร์บาห์เช่)

 

 

ในช่วงซัมเมอร์ปี 2008 กีซ่า โชว์ฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดในชีวิตค้าแข้ง เขาคว้ารางวัลดาวซัลโวประจำลาลีก้า หลังซัดไป 27 ประตูให้ เรอัล มายอร์ก้า จนได้มีชื่อติดทีมชาติสเปนชุดสู้ศึกยูโรปีเดียวกัน และทำไปทั้งหมด 2 ประตูในทัวร์นาเม้นต์นั้น มีส่วนช่วยให้ทีมกระทิงดุคว้าแชมป์ทวีปมาครองได้อย่างสง่าผ่าเผย

 

อาร์เซน่อล และ บาร์เซโลน่า คือ 2 ทีมเต็งที่ให้ความสนใจในตัวกองหน้าชาวสเปนอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องถอนตัวไป เมื่อทีมชาวเกาะเรียกราคาถึง 13.7 ล้านปอนด์ในตอนนั้น แต่ยอดทีมจากตุรกี เฟเนร์บาห์เช่ โอเคกับข้อเสนอดังกล่าวก่อนจะทุบเงินในคลังเพื่อคว้าตัวกีซ่ามาร่วมได้ในที่สุด

 

และนั่นค่อยๆกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หัวหอกแชมป์ยูโรปี 2008 มีกราฟเส้นทางลูกหนังที่ดึงลงเรื่อยๆ เพราะหลังจากนั้นกีซ่าก็ย้ายไปเล่นทั้ง มาเลเซีย และ ปารากวัย โดยตอนนี้เขากำลังเล่นให้กับ แอตเลติโก้ ซานลูกิโน่ ในเซกุนด้า บี ลีกระดับ 3 ของสเปน 

 

 

ฟรานซิส เจฟเฟอร์ส (อาร์เซน่อล)

 

 

น่าเศร้าที่กรณีของ ฟรานซิส เจฟเฟอร์ส กลายเป็นเคสตัวอย่างของหนึ่งในดาวเด่นที่ฟอร์มดับมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกหลังย้ายทีมด้วยค่าตัวมหาศาล เพราะตอนแรกทุกอย่างที่แตกต่างจากที่เป็นมากๆ หลังเขาประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่เอฟเวอร์ตันตั้งแต่อายุ 16 ปี ก่อนที่ตัวของ เวย์น รูนี่ย์ จะทำได้ใกล้เคียงกันในอีก 2-3 ปีต่อมา

 

ฤดูกาล 2000-01 หัวหอกลูกหม้อทีมท็อฟฟี่ประสานงานกับ เควิน แคมป์เบลล์ ได้อย่างลงตัว พร้อมกับโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นเกินวัย ทำให้อาร์เซน่อลยอมจ่ายเงินถึง 8 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ซึ่งเป็นที่ที่เขาน่าจะได้ฉายแสงแบบเต็มตัว

 

อย่างไรก็ตาม นั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบ หลังกองหน้าชาวผู้ดีถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้เขาต้องจำใจนั่งอยู่ในม้านั่งสำรองเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าเขาจะติดทีมชาติอังกฤษแค่นัดเดียว (และยิงได้ด้วย) ในปี 2003 ก็ตาม และหลังจากนั้นทุกอย่างก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ก่อนที่เจฟเฟอร์ส ลาฟลอร์หญ้ากับ แอคคริงตัน สโมสรในลีก ทู เมื่อปี 2013

 

 

ฆาบี โมเรโน่ (มิลาน)

 

 

โมเรโน่เป็นแข้งคนสำคัญของ อลาเบส ในการล้มยักษ์ใหญ่ของศึกยูฟ่า คัพ และพาทีมเข้ารอบชิงแบบสุดเซอร์ไพรส์ในปี 2001 ก่อนที่จะพ่ายไปอย่างน่าเจ็บใจไป 5-4 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่นั่นก็ไม่ได้ลดความยอดเยี่ยมของเขาลงได้เลย หลังทะลวงตาข่ายไปทั้งหมด 28 ตุงจากทุกรายการที่ลงเล่นในฤดูกาลนั้น ส่งผลให้โมเรโน่ได้ย้ายไปอยู่ในทีมที่ใหญ่กว่าหลายเท่าตัวอย่าง เอซี มิลาน ในฤดูกาาลต่อมา

 

แต่ด้วยสไตล์การใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายและหย่อนยานเกินไป ทำให้กองหน้าเลือดกระทิงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเล่นที่หนักหน่วงในเซเรียอาได้ และเก็บข้าวของออกจากถิ่นซาน ซีโร่ หลังจากค้าแข้งที่นั่นได้เพียงปีเดียวเท่านั้น ซึ่งในเวลาต่อมา โมเรโน่ ก็ไม่เคยกลับขึ้นไปอยู่บนจุดนั้นได้อีกเลย ไม่ว่าจะย้ายไปเล่นให้สโมสรต่างๆในบ้านเกิด หรือ โบลตันที่อังกฤษก็ตาม

 

 

เบนจานี่ เอ็มวารูวารี (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

 

 

ด้วยสภาพทีมที่สมบูรณ์แบบมากๆในปัจจุบัน ทำให้หลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่าพวกเขาก็เคยล้มเหลวในการเสริมทัพไม่น้อยเช่นกัน หลังจากกลายร่างเป็นทีมเงินถุงเงินถังครั้งแรกในปี 2007

 

เบนจานี่ได้ย้ายมาร่วมทีมเรือใบหลังยิงให้พอร์ทสมัธไป 12 ประตูจาก 23 เกมในลีก แม้ตัวเขาจะตกใจกับการย้ายทีมครั้งนี้ และไม่ได้มีความต้องการย้ายออกจากทีมปอมปีย์ แต่ถึงอย่างนั้น กองหน้าชาวซิมบับเวก็เดินทางมาเมืองแมนเชสเตอร์ได้ทันเวลาพอดี

 

ที่ประหลาดไปกว่านั้นคือทีมสีฟ้าจากแมนเชสเตอร์ต้องการจะถอนตัวจากดีลนี้ เนื่องจากพบว่า เอ็มวารูวารี มีปัญหาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า แต่อีก 4 วันต่อมา พรีเมียร์ลีกได้ยืนยันว่าพวกเขาได้รับเอกสารที่จำเป็นแล้ว จึงทำให้การย้ายทีมครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย

 

ตลอด 2 ปีในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม เบนจานี่ ไม่สามารถทำผลงานได้เข้าตาเหล่าซิติเซ่น และกลายเป็นกองหน้าตัวสำรองของทีมไปโดยปริยาย ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับสโมสรอื่นในแดนผู้ดี และแขวนสตั๊ดกับทีมในแอฟริกาใต้เมื่อปี 2014

 

 

อันโตนิโอ โนเชริโน่ (มิลาน) 

 

 

อันโตนิโอ โนเชริโน่ ถูกดึงเข้ามาร่วมทีมเอซี มิลาน เพื่อมาเติมเต็มช่องว่าง หลัง อันเดรีย ปีร์โล่ โบกมือลาปีศาจแดงดำไปซบ ยูเวนตุส ทีมคู่แข่งร่วมลีกในปี 2011 ซึ่งในตอนแรก มิลาน ดูจัดการกับดีลนี้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก กองกลางชาวอิตาเลี่ยน เหลือสัญญาแค่ปีเดียวกับปาแลร์โม่ ทำให้โรสโซเนรี่คว้าตัวโนเชริโน่มาร่วมทีมด้วยค่าตัวเพียง 500,000 ยูโรเท่านั้น

 

แม้ว่าเจนนาโร่ กัตตูโซ่ จะมองว่า มิดฟิลด์ด่วรุ่งคนนี้มีการอ่านเกมที่ดีกว่าเขา แต่ความจิรงแล้ว โนเชริโน่ ทำผลงานไม่ได้ครึ่งของ กัตจัง เลย โดยยิงไปแค่ 6 ลูกเท่านั้นจากการลงเล่นในลีก 138 นัด 

 

แค่นี้ก็พอจะบอกได้ว่า อดีตแข้งปาแลร์โม่ล้มเหลวในถิ่นซาน ซีโร่ อย่างสิ้นเชิง ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับ เวสต์แฮม และ ออร์แลนโด้ ซิตี้ ในเวลาต่อมา แต่ก็ไม่ทำผลงานเข้าตาแฟนบอลแต่อย่างใด ปัจจุบัน แข้งวัย 34 ปี กลายเป็นนักเตะไร้สังกัด หลังหมดสัญญากับ เบเนเวนโต้ เมื่อปีที่ผ่านมา

 

 

เจอโรม โรเต็น (เปแอชเช)

 

 

โรเต็น ถือเป็นหนึ่งในดาวเด่นที่พาทีมนอกสายตาอย่าง โมนาโก ผ่านด่านสุดหินเข้าไปเล่นในนัดชิงของแชมเปี้ยนส์ลีกได้ในปี 2004 ก่อนที่เขาจะย้ายออกจากทีมไปอยู่กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ตามหลัง ลูโดวิช ชูลี่ ปีกร่างเล็กที่ย้ายไปประสบความสำเร็จอย่างมากกับบาร์เซโลน่า 

 

ในตอนนั้น ทีมเมืองหลวงแดนน้ำหอมยังไม่ใช่สโมสรมหาเศรษฐีเช่นในปัจจุบัน แต่ชื่อชั้นของพวกเขาก็ถือว่าไม่ธรรมดา หลังคว้ารองแชมป์ลีกเอิงในฤดูกาล 2003-04

 

แต่ช่วงเวลา 5 ปี ที่กองกลางแฟรนช์แมนอยู่กับเปแอชเช เขาพาทีมจบอันดับสูงสุดแค่ที่ 6 เท่านั้น และในเวลาต่อมา เส้นทางของโรเต็นก็ไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย หลังไปล้มเหลวกับ เรนเจอร์ส และอีกหลายๆทีมหลังจากนั้นเป็นต้นมา

 

 

ฮาคาน ยาคิน (เปแอชเช)

 

 

ยาคินเป็นแข้งที่โชว์ฝีเท้าได้โดดเด่นที่สุดในทีมบาเซิ่ล เมื่อทีมลงฟาดแข้งในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2002-03 หลังเบียดลิเวอร์พูลขึ้นไปอยู่ที่ 2 ของแบ่งกลุ่มครั้งแรกได้อย่างงดงาม และเกือบเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ได้ แต่น่าเสียดายที่ลูกได้เสียดันแย่กว่า ยูเวนตุส เท่านั้นเอง ในรอบแบ่งกลุ่มครั้งที่ 2 

 

ตัวรุกชาวสวิชได้รับการยกย่องอย่างมากหลังจบรายการนั้น และได้ย้ายไปอยู่กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง โดยเซ็นสัญญากันยาวๆถึง 4 ปี แต่ก็อยู่ไปได้แค่เดือนเดียว ยอดทีมแดนน้ำหอมก็ยกเลิกสัญญาของยาคินลง เนื่องจากเข้าใจว่ายาคินมีปัญหาอาการบาดเจ็บ ในเวลาต่อมาเขาได้ย้ายไปสตุ๊ตการ์ท แต่ก็ไม่สามารถทำผลงานได้อย่างเคย เช่นเดียวกับตอนที่ย้ายไปเล่นแบบยืมกับ กาลาตาซาราย ก็ทำผลงานไม่ต่างจากเดิมนัก

 

แข้งแดนนาฬิกาได้กลับมาเล่นให้ บาเซิ่ล ทีมเก่าที่ช่วยให้เขาแจ้งเกิดอีกครั้งในปี 2005 แต่ถึงอย่างนั้น ตัวของฮาคินก็ไม่เคยกลับไปอยู่ในจุดที่เคยอยู่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ก่อนจะแขวนสตั๊ดกับ เอซี เบลลินโซน่า ทีมเล็กในลีกระดับ 3 ของสวิชเซอร์แลนด์ในปี 2013