พรีเมียร์ลีก ถือเป็นเวทีสุดหินที่มีนักฟุตบอลจากต่างแดนเอาชื่อมาทิ้งไว้มากมาย บางรายต้องเก็บข้าวของย้ายออกไปหลังมาได้แค่ฤดูกาลเดียว บางรายพยายามดิ้นรนอยู่นานหลายปีก็ยังแจ้งเกิดไม่ได้สักที อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้เล่นอีกส่วนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคในช่วงแรก แต่สามารถก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จได้ในภายหลัง… ดั่งเช่นนักเตะทั้ง 6 คนนี้
โรแบร์ ปิแรส (อาร์เซน่อล)
ปิแรส เป็นเคสตัวอย่างที่ดีของนักเตะต่างแดนที่ต้องการอย่างน้อยหนึ่งฤดูกาลถึงจะเริ่มดีขึ้น โดยปีกเฟรนช์แมน ย้ายจาก เม็ตซ์ มาร่วมทีม อาร์เซน่อล ในปี 2000 และต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำความคุ้นเคยกับพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสภาพร่างกายที่ต้องถึกบึกบึนยิ่งกว่าเดิม ซึ่งในฤดูกาลเปิดตัวบนลีกสูงสุดเมืองผู้ดี เจ้าตัวฝากผลงานไว้ที่ 4 ประตู 7 แอสซิสต์ จากการลงสนามไปทั้งหมด 33 นัด
ซีซั่นต่อมา ความเชื่อมั่นที่ อาร์แซน เวนเกอร์ มีให้กับ ปิแรส ก็ได้รับการตอบแทนแบบทบต้นทบดอก หลังเจ้าตัวทำไป 9 ประตู 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 28 นัด พร้อมเป็นคีย์แมนที่ช่วยให้ทีมปืนใหญ่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ในปีนั้น (พรีเมียร์ลีก,เอฟเอ คัพ) อันที่จริงหากเจ้าตัวไม่โดนอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปตั้งแต่เดือนมีนาคม สถิติของเขาน่าจะไม่หยุดอยู่เท่าที่กล่าวไปข้างต้นแน่ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ดาวเตะผู้มีหน้าตาละม้ายคล้าย ปู แบล็คเฮด ได้รับเลือกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรประจำฤดูกาล 2001-02
หลังจากนั้น ปิแรส ก็จบซีซั่นด้วยการซัดให้กับ เดอะ กันเนอร์ส ขึ้นเลขสองหลักในตลอดสามฤดูกาลถัดมาด้วย
หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล)
มันอาจดูเป็นเรื่องแปลกที่ ซัวเรซ เข้ามาอยู่ในลิสต์นี้ แต่ก็อย่าลืมว่าเขาไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่เปรี้ยงปร้างกับ ลิเวอร์พูล หลังย้ายจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มาค้าแข้งบนถิ่น แอนฟิลด์ ในเดือนมกราคมปี 2011 ทั้งนี้ แม้ว่าหัวหอกชาวอุรุกกวัยจะยิงประตูได้ตั้งแต่นัดเปิดตัวกับ สโต๊ค ซิตี้ ทั้งยังแสดงความวูบวาบออกมาให้เห็นในหลายๆเกม แต่เจ้าตัวก็ยิงไปเพียง 15 ลูกเท่านั้น จาก 44 เกมแรกในพรีเมียร์ลีก
แต่เมื่อมาถึงฤดูกาล 2012-13 กองหน้าจอมกัดก็เริ่มเปล่งประกายในฐานะดาวเตะระดับโลกอย่างแท้จริง โดยเจ้าตัวจัดการทำไปทั้งสิ้น 23 ประตู 11 แอสซิสต์ จากการลงสนามในลีก 33 นัด ก่อนจะมาพีคสุดขีดในปีต่อมา ด้วยการทะลวงไปถึง 31 ประตู และทำแอสซิสต์ไปอีก 17 ครั้ง ส่งผลให้ บาร์เซโลน่า ไม่ลังเลเลยที่จะทุ่มเงินถึง 82.3 ล้านยูโร เพื่อดึง ซัวเรซ ไปล่าตาข่ายที่แคว้นคาตาลันหลังจบซีซั่น
เธียร์รี่ อองรี (อาร์เซน่อล)
อาร์เซน่อล เซ็นสัญญาคว้าตัว อองรี มาจาก ยูเวนตุส ในช่วงซัมเมอร์ปี 1999 ด้วยค่าตัวถึง 11 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าที่สูงพอสมควรในเวลานั้น พร้อมถูก อาร์แซน เวนเกอร์ จับขึ้นไปยืนเป็นหัวหอกตัวเป้า ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเจ้าตัวประจำการในตำแน่งปีกซ้ายมาตลอด ทำให้ในช่วงแรก เขาโดนวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่สามารถเล่นในบทบาทกองหน้าได้เลย เนื่องจากขาดคุณภาพในการจบสกอร์ และต้องใช้เวลาถึง 8 เกมกว่าจะประเดิมลูกแรกในสีเสื้อทีมปืนใหญ่ได้
เมื่อประตูคลายความกดดันมา ความมั่นใจบังเกิด ชะตาชีวิตของไอ้หนุ่มจากเมืองแห่งแฟชั่นก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนับตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นมา อองรี สามารถส่งบอลไปซุกก้นตาข่ายได้เป็นว่าเล่น แม้จะเริ่มต้นไม่ค่อยสวยนัก แต่เขาก็จบฤดูกาลแรกในลีกสูงสุดของอังกฤษด้วยการทำไปถึง 17 ประตู 8 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 31 นัด และสิ่งที่ตามมาในอีก 7 ซีซั่นหลังจากนั้น คือการซัดให้กับ อาร์เซน่อล ไปอีก 156 ประตู จากการลงเล่น 229 นัด พร้อมได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
เดนนิส เบิร์กแคมป์ (อาร์เซน่อล)
เบิร์กแคมป์ ถือเป็นอีกหนึ่งตำนานของ อาร์เซน่อล ที่เริ่มต้นชีวิตในพรีเมียร์ลีกอย่างเชื่องช้า หลังเจ้าตัวย้ายจาก อินเตอร์ มิลาน มาลุยเกมลูกหนังเมืองผู้ดีในปี 1995 โดยกองหน้าดัตช์แมน ต้องใช้เวลาถึง 7 เกม กว่าจะเบิกสกอร์แรกให้กับตัวเองได้ จนสื่อของอังกฤษเริ่มมีการพาดหัวโจมตีเขาว่าเป็นการลงทุนที่เสียเปล่าของ เดอะ กันเนอร์ส
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 1997-98 กับการคุมทีมแบบเต็มซีซั่นครั้งแรกของ อาร์แซน เวนเกอร์ นี่ถือเป็นปีที่ ไอซ์เบิร์ก เริ่มแสดงความอัจฉริยะในกายออกมาให้ได้ประจักษ์ โดยเขาจัดการซัดไป 16 ประตู และทำแอสซิสต์อีก 11 ครั้ง จากการลงเล่นในลีก 28 นัด พร้อมพา อาร์เซน่อล คว้าดับเบิ้ลแชมป์ในปีดังกล่าวมาครองได้สำเร็จ (พรีเมียร์ลีก,เอฟเอ คัพ) ก่อนที่ต่อมา เจ้าตัวจะซิวถ้วยพรีเมียร์ลีกอีก 2 สมัย และ เอฟเอ คัพ อีก 3 สมัย ในช่วงเวลาที่ค้าแข้งอยู่กับทีมปืนใหญ่จนถึงปี 2006
ดาบิด เด เคอา (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
ผลงานโดยรวมที่ เด เคอา สร้างไว้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนถึงปัจจุบัน จะทำให้เขาได้รับสถานะเป็นหนึ่งในนายทวารผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก่อนจะก้าวขึ้นมาอยู่จุดนี้ได้ เจ้าตัวก็ต้องเผชิญกับเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามในตอนแรก
จอมหนึบชาวสแปนิช ย้ายจาก แอตเลติโก มาดริด มาร่วมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2011 ด้วยค่าตัวถึง 18.3 ล้านปอนด์ พร้อมถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ บนถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่างไรก็ตาม เขาต้องต่อสู้กับปัญหามากมายในช่วงเริ่มต้น ทั้งเรื่องของความกดดัน , กำแพงภาษา และสรีระผอมบางที่ไม่เหมาะกับพรีเมียร์ลีก ส่งผลให้เจ้าตัวก่อความผิดพลาดง่ายๆให้เห็นบ่อยครั้ง จนถึงขั้นมีการเรียกร้องให้ดันมือสองอย่าง อันเดรส ลินเดการ์ด ขึ้นมาเป็นตัวจริงแทนด้วยซ้ำ
แต่ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ บวกกับศักยภาพที่มีในตัวอยู่แล้ว ทำให้ปัญหาแต่ละอย่างเริ่มได้รับการคลี่คลาย และจุดเปลี่ยนสำคัญของนายด่านเลือดกระทิง คือเกมที่ปีศาจแดงบุกไปเสมอกับ เชลซี 3-3 หลังจากเจ้าตัวสามารถบินปัดลูกฟรีคิกของ ฆวน มาต้า ได้อย่างเหลื่อเชื่อในนัดนั้น กราฟชีวิตของเขาก็ทะยานขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในภายหลัง เด เคอา ก็ได้ออกมาพูดถึงจังหวะดังกล่าวว่า “มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่กำหนดชีวิตการค้าแข้งของผมกับ ยูไนเต็ด เลย”
ดาบิด ซิลบา (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
เช่นเดียวกับ เด เคอา สภาพร่างกายอันบอบบางของ ซิลบา คือสิ่งที่ถูกตั้งคำถาม หลังเจ้าตัวย้ายจาก บาเลนเซีย มาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 26 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2010 โดยเพลย์เมคเกอร์ชาวสแปนิช ได้รับโอกาสออกสตาร์ทไปแค่นัดเดียวเท่านั้น จาก 4 เกมแรก แต่ถึงกระนั้น เขากลับยังแสดงความมั่นใจออกสื่อว่าตัวเองจะดีขึ้นแน่นอนเมื่อสามารถปรับตัวได้… และท้ายที่สุด เขาก็พูดถูก !
หลังจากทำไป 4 ประตู 8 แอสซิสต์ ในซีซั่นเปิดตัว ต่อมาในฤดูกาล 2011-12 ซิลบา ได้กลายเป็นจอมทัพคนสำคัญที่ช่วยให้ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหนแรกของสโมสรมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยเจ้าตัวยิงได้ 6 ประตู และแอสซิสต์ไปมากถึง 17 ครั้ง จากการลงสนาม 36 นัด ก่อนที่ต่อมา เขาจะชนะแชมป์ลีกอีก 3 ครั้ง และซิวแชมป์บอลถ้วยในประเทศอีก 6 ครั้งร่วมกับเรือใบสีฟ้า
ปัจจุบัน ซิลบา ในวัย 33 ปี เดินทางมาถึงฤดูกาลสุดท้ายบนถิ่น เอติฮัด สเตเดียม แล้ว และไม่ว่าซีซั่นนี้จะจบลงอย่างไร อดีตแนวรุกไอ้ค้างคาวก็จะอำลาเกาะอังกฤษไปในฐานะนักเตะต่างชาติที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกอย่างแน่นอน