อีกเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น พรีเมียร์ลีก อังกฤษก็จะกลับมาแข่งขันกันต่อหลังจากห่างหายไปนานกว่า 3 เดือนเพราะวิกฤตไวรัสโควิด-19 และในช่วงเวลานี้เอง ที่เป็นโอกาสให้นักเตะหลายรายได้ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเพื่อกลับมาลงสนามอีกครั้งในช่วงที่เหลือของฤดูกาล
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในทีมที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด เมื่อพวกเขาจะได้สองผู้เล่นคนสำคัญอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ ปอล ป็อกบา กลับมาช่วยลุ้นตั๋วยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในช่วงโค้งสุดท้าย และนี่จะเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นอย่างมากสำหรับสาวกอสูร ที่จะได้เห็นทั้งคู่ผนึกกำลังร่วมกับ บรูโน่ แฟร์นานด์ส และทีมงานปีศาจแดงที่ไม่แพ้ใครมาแล้ว 11 นัดติดต่อกัน
สำหรับแนวรุกทีมชาติอังกฤษ ตำแหน่งของเขาได้ถูกจองไว้ให้เรียบร้อย แต่กับสตาร์เฟรนช์แมน ด้วยความที่แดนกลางของ ยูไนเต็ด ดูเหมือนจะลงล็อคอยู่แล้ว ทำให้เกิดคำถามว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะจับศิษย์รักรายนี้ลงตรงไหน ซึ่งวันนี้เราจะมาส่องทางเลือกต่างๆที่เป็นไปได้กัน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ป็อกบา ต้องอยู่ในสนามด้วย
4-2-3-1
นี่ถือเป็นแผนการเล่นหลักที่ โซลชา ใช้มาตลอด และเป็นไปได้มากที่สุดที่กุนซือหน้าทารกจะใช้ระบบนี้ต่อไป ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าจะหย่อน ป็อกบา ไปวางลงตรงไหนเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่ตำแหน่งหมายเลข 10 ที่ บรูโน่ ยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ หวยจึงต้องมาออกที่ใครคนใดคนหนึ่งระหว่าง เฟร็ด กับ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์
เมื่อมองจากผลงานในช่วงหลัง ครั้นจะดรอปก็องเต้บราซิเลี่ยนก็ดูจะเป็นอะไรที่ใจร้ายเกินไปหน่อย ซึ่งต้องยอมรับว่านอกจากเรื่องความแข็งแกร่งและสรีระ ค่าพลังด้านอื่นๆอดีตดาวเตะชัคเตอร์ โดเน็ตส์คได้พาตัวเองแซงหน้ากองกลางชาวสกอตไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วย ป็อกบา เป็นนักเตะที่จัดอยู่ในประเภท “กูไม่ชอบเล่นเกมรับ” และ โซลชา คงไม่ทำเสียของด้วยการให้เจ้าตัวปักหลักอยู่แค่หน้าแผงหลัง ผลที่ตามมาคือสมดุลในแดนกลางที่อาจเสียไปในบางจังหวะ ขณะที่ เฟร็ด ก็จะต้องรับภาระในการป้องกันเยอะหน่อย ซึ่งนี่คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับมิติในเกมรุกที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาล
3-5-2
ต่อมาเป็นแผน B ที่ โซลชา นำมาใช้รับมือกับบรรดาทีมใหญ่โดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นระบบที่เน้นเกมรับให้เหนียวแน่นเอาไว้ก่อน และสามารถป้องกันเกมรุกจากทางริมเส้นของคู่แข่งได้เป็นอย่างดี ซึ่งแผนการเล่นนี้ ตำแหน่งการยืนของนักเตะในแดนกลางจะยังเหมือน 4-2-3-1 ทุกประการ นั่นหมายความว่า ป็อกบา จะเล่นเป็นคู่มิดฟิลด์ร่วมกับ เฟร็ด เช่นเดิม และมี บรูโน่ คอยสร้างสรรค์เกมอยู่ด้านบน
สิ่งที่ต่างออกไปในแผนนี้คือบทบาทการเล่นของจอมทัพทีมชาติฝรั่งเศส โดยเจ้าตัวจะมีอิสระในการเคลื่อนที่และปั้นเกมบุกมากขึ้น จากการที่มีผู้เล่นอสูรถึง 6 คนคอยคุมพื้นที่ในเกมรับ และในบางสถานการณ์ ยูไนเต็ด สามารถยืดหยุ่นด้วยการห้อยกองกลางแซมบ้าไว้หน้าแผงหลังแค่คนเดียว พร้อมดันแข้งวัย 27 ปีขึ้นสูงไปทำเกมร่วมกับเพลย์เมคเกอร์ฝอยทองได้ด้วยเหมือนกัน
และเมื่อมองในแง่ที่ปีศาจแดงใช้ระบบนี้เพื่อเน้นเกมป้องกัน นี่จะเป็นช่วงเวลาที่ ป็อกบา ได้ใช้อาวุธอันทรงพลังที่สุดของตัวเอง นั่นก็คือการวางบอลยาวในแนวลึกเพื่อเล่นเกมสวนกลับ
4-1-2-1-2 (4-4-2 ไดมอนด์)
ด้วยแผนการเล่นนี้ ยูไนเต็ด จะสามารถส่งกองกลางลงไปเพิ่มได้อีกหนึ่งคน และดูเหมือนจะเป็นระบบที่ตอบโจทย์สำหรับมิดฟิลด์ที่ปีศาจแดงมีอยู่ในตอนนี้ แต่ถึงกระนั้น เฟร็ด กับ แม็คโทมิเนย์ ก็ยังไม่สามารถลงพร้อมกันได้อยู่ดี เนื่องจาก เนมานย่า มาติช เป็นกองกลางตัวรับธรรมชาติเพียงคนเดียว และไม่มีใครนอกจากเขาที่เยือกเย็นพอจะทำหน้าที่ในจุดนี้ได้
ขยับขึ้นมาที่คู่มิดฟิลด์ ป็อกบา จะทำงานร่วมกับ เฟร็ด เหมือนเดิม แต่ในส่วนของ บรูโน่ ที่ยืนในตำแหน่งกองกลางตัวรุก เจ้าตัวจะต้องสวมบทบาทเป็น “ฟอลส์ ไนน์” ควบคู่ไปด้วย และต้องพุ่งตัวเข้าไปเล่นในกรอบเขตโทษมากขึ้น เนื่องจากคู่หัวหอกจำเป็นต้องถ่างออกไปเล่นด้านข้าง เพื่อกลบช่องว่างจากการที่ไม่มีปีกในแผนการเล่นนี้
ก่อนหน้านี้ โซลชา เคยทดลองใช้ระบบ 4-1-2-1-2 มาแล้วในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค ซึ่งผลจบลงด้วยสกอร์ 1-1 ที่ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด เสียประตูจากความผิดพลาดส่วนตัวของ ดาบิด เด เคอา ตั้งแต่ต้นเกม