เจาะสไตล์การคุมทีม : “ชาบี อลอนโซ่” จากมิดฟิลด์มาดคุณชาย สู่บทบาทโค้ชเจนใหม่ที่น่าจับตา

“ชาบี อลอนโซ่ จะเข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่ของ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค แทนที่ มาร์โก โรเซ่ ในฤดูกาลหน้า” นี่คือข่าวที่รายงานกันครึกโครมเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

โปรไฟล์ก่อนหน้านี้ของอดีตกองกลางทีมชาติสเปน มีเพียงการคุมทีมชุด U14 ของเรอัล มาดริด และคุมทีมเรอัล โซเซียดาด เบ เท่านั้น แต่หากจะว่ากันในเรื่องนี้ จริงๆมันก็ไม่ได้น่าแปลกแล้วในยุคปัจจุบัน เพราะขนาดกุนซือระดับขึ้นหิ้งอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ ซีเนอดีน ซีดาน ก็กระโดดเข้ามารับงานใหญ่โดยที่ไม่ได้มีประสบการณ์ในเกมระดับสูงมาก่อน

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากกลายเป็นข่าวฮือฮาได้เพียงไม่กี่วัน ล่าสุดเทรนเนอร์วัย 39 ปีได้ตัดสินใจต่อสัญญากับ เรอัล โซเซียดาด เพิ่มอีก 1 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือหมายความว่าเขาจะดูแลทีมชุดเบของลา เรอัลไปจนถึงปี 2022

 

เอาล่ะ ต่อให้ อลอนโซ่ จะยังไม่ได้เทิร์นโปรในอนาคตอันใกล้ แต่วันหนึ่งผู้คนจะได้เห็นเขาก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้กุนซือแบบเต็มตัวอย่างแน่นอน และก่อนที่จะถึงวันนั้น เรามาทำความรู้จักฟุตบอลในแบบฉบับของคุณชายแห่งโลกลูกหนังกันสักหน่อยดีกว่า

 

 

ระบบการเล่น

 

อลอนโซ่ เริ่มต้นจับงานคุมทีมในปี 2018 โดยในช่วงตั้งไข่กับทีมอะคาเดมี่ของเรอัล มาดริด เขามาพร้อมกับระบบการเล่น 4-3-3 แบบยืดหยุ่น ทว่าหลังจากย้ายไปกุมบังเหียนเรอัล โซเซียดาด เบ เทรนเนอร์ชาวสแปนิชได้หันมาใช้ 4-2-3-1 เป็นระบบหลัก อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนี้เขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยการเลือกใช้ทั้งสองระบบสลับกันไปมา

 

อลอนโซ่ ยังเคยทดลองเล่นในระบบ 3 เซนเตอร์แบ็คในบางนัด แต่ไม่ใช่เพื่อเน้นรัดกุมเพียงอย่างเดียว เขาเคยปรับมาเล่นในระบบ 3-2-2-3 เพื่อพยายามเจาะเกมรับของคู่แข่งด้วย

 

สไตล์การเล่น

 

เมื่อปี 2019 อลอนโซ่ เคยบอกกับ The Coaches Voice เกี่ยวกับสไตล์การเล่นที่ต้องการจากลูกทีมว่า “ผมพยายามจะเป็นทีมที่เล่นเกมรุก , ทีมที่มีความคิดริเริ่ม และต้องการบอล โดยมีนักเตะที่รู้ว่าจะเชื่อมต่อกันและกันยังไง”

 

ดังนั้น ชัดเจนว่าเขาก็เหมือนกับโค้ชยุคโมเดิร์นหลายๆคนที่โปรดปรานการเล่นเกมรุก และชื่นชอบให้ทีมของตัวเองมีบอลอยู่ในครอบครอง

 

ในช่วงที่ยังค้าแข้ง อลอนโซ่ มีโอกาสได้ซึมซับวิชาจากกุนซือชั้นอ๋องมาหลายราย แต่คนที่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับเขามากที่สุดคือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยอดีตห้องเครื่องดีกรีแชมป์โลกยอมรับว่าหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ตัดสินใจย้ายมาเล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิค เป็นเพราะเขาต้องการศึกษาวิธีการทำทีมของอดีตเจ้านายผู้นี้

 

 

ปรัชญาการคุมทีม

 

การปรับตัวคือเรื่องที่ อลอนโซ่ ให้ความสำคัญ เขาไม่ใช่โค้ชที่จับนักเตะมาใส่ในปรัชญาที่ตัวเองเซตไว้ แต่เลือกที่จะเซตปรัชญาโดยคำนึงถึงทรัพยากรที่ตัวเองมีเป็นหลัก

 

“ผมมีเครื่องหมายการค้าของตัวเองไหม? ไม่ สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่นักเตะของผมรู้สึก นั่นคือสิ่งที่ผมบอกพวกเขา” อลอนโซ่ ตอบกับ L’Equipe เมื่อถูกถามว่ามีปรัชญาการทำทีมที่ชัดเจนหรือไม่ “ถ้าผมรู้สึกบางสิ่ง แต่นักเตะของผมไม่รู้สึก ไอเดียของผมก็ไม่มีประโยชน์ ผมต้องเปลี่ยน และดูแลพวกเขา”

 

ผลงานที่ผ่านมา

 

อลอนโซ่ ได้ชูถ้วยรางวัลใบแรกในฐานะกุนซือตั้งแต่ฤดูกาลเปิดตัว เมื่อเขานำทีมชุด U13 ของเรอัล มาดริดคว้าแชมป์ลีกยุวชนมาครอง โดยที่ยังเหลือโปรแกรมการแข่งขันอีก 3 นัดด้วย ก่อนที่จะย้ายไปคุมทีมเรอัล โซเซียดาด เบ ในซีซั่นต่อมา

 

ขณะที่ผลงานกับลา เรอัล ลูกหม้อของสโมสรรายนี้พาทีมที่เพิ่งจบอันดับ 12 ในฤดูกาลก่อนหน้า ขึ้นมาจบอันดับ 5 ในซีซั่นแรกที่ตัวเองเข้ามา โดยที่มีแต้มตามหลังทีมอันดับ 2 แค่ 5 คะแนน อย่างไรก็ตาม แม้ทีมของอลอนโซ่จะยิงประตูได้มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของดิวิชั่นนี้ แต่พวกเขาก็มีสถิติในเกมรับที่ค่อนข้างแย่เช่นเดียวกัน เมื่อซานเซเสียประตูมากที่สุดเป็นอันดับ 3 เมื่อวัดจากทีมครึ่งบนของตาราง

 

 

ส่องผลงานเพื่อนร่วมรุ่น

 

สตีเว่น เจอร์ราร์ด กำลังเป็นชื่อที่ร้อนแรงสุดๆในหมู่กุนซือเจเนอเรชั่นใหม่ เมื่อเขาสามารถพา กลาสโกว เรนเจอร์ส ผงาดคว้าแชมป์สกอตติช พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีในฤดูกาลนี้ จนถึงขั้นตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับการกลับ ลิเวอร์พูล ไปแทนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลยทีเดียว

 

ขณะที่ในรายของ มิเกล อาร์เตต้า เปิดตัวแบบหล่อๆเมื่อฤดูกาลก่อนด้วยการนำ อาร์เซน่อล คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ แต่เมื่อเข้าสู่ซีซั่นนี้ เขากลับพาต้นสังกัดล้มลุกคลุกคลานซะอย่างนั้น โดยปัจจุบันทีมปืนใหญ่รั้งอยู่ในอันดับ 9 ของตาราง และเหลือให้ลุ้นเพียงถ้วยเดียวคือยูโรปา ลีก

 

ส่วนทาง แฟรงค์ แลมพาร์ด เริ่มต้นด้วยการเกือบพา ดาร์บี้ เคาน์ตี้ เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาล 2018-19 ก่อนที่จะนำ เชลซี จบในตำแหน่งท็อปโฟร์เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ทว่าด้วยผลงานอันน่าผิดหวังในฤดูกาลนี้ ทำให้เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว