โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นอีกหนึ่งกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกฟุตบอลยุคศตวรรษที่ 21 แต่ต้องบอกว่าช่วง 4-5 ปีหลังสุดไม่ใช่เวลาของเขาเท่าไหร่ แถมหลายคนยังมองว่าเป็นขาลงด้วยซ้ำ
มีกุนซือไม่กี่คนบนโลกที่สามารถต่อกรกับ เดอะ สเปเชียล วัน ได้สมน้ำสมเนื้อ อีกทั้งตัวเขายังประสบความสำเร็จพาทีมคว้าแชมป์มากมายทั้งกับ ปอร์โต้, อินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ทว่าช่วงเวลากับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ในปัจจุบัน กลับไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปสู่จุดที่เขาเคยยืนได้เลย หลังล่าสุดเพิ่งตกรอบยูโรป้า ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังพ่าย ดินาโม ซาเกร็บ แบบชวนช็อก 3-2 ทั้ง ๆ ที่ออกนำไปก่อนในเลกแรกถึง 2-0
นั่นแสดงให้เห็นว่า กุนซือชาวโปรตุกีส มีช่วงเวลาที่ย่ำแย่ไม่ต่างจากเพื่อน ๆ ร่วมอาชีพวงการเดียวกัน UFA ARENA จึงขอพาทุกท่านไปพบกับ 5 ความพ่ายแพ้ที่ชอกช้ำที่สุดในอาชีพของชายที่ชื่อ มูรินโญ่
ลิเวอร์พูล 1-0 เชลซี | พฤษภาคม 2005
ความโกลาหลเกิดขึ้นราว 4 นาทีแรกในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ เลกสอง ระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล เมื่อ มิลาน บารอส ยกบอลข้ามตัว ปีเตอร์ เช็ก จากนั้น หลุยส์ การ์เซีย ก็วิ่งปรี่เข้ามาแปด้วยซ้ายทำประตู แม้บอลถูกสกัดออกมาจากเส้น และดูเหมือนบอลยังไม่ข้ามเส้นแบบเต็มใบ แต่ผู้ตัดสินก็เป่าให้เป็นประตูไปแล้ว
เหตุการณ์นั้นเป็นช่วงเวลาชี้ชะตาส่งให้ หงส์แดง ก้าวเข้าไปสร้างปาฏิหารย์ในนัดชิงที่ อิสตันบูล หากมองย้อนไปนี่น่าจะเป็นโอกาสที่ มูรินโญ่ พาสิงห์บลู คว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกมาครองมากที่สุด หลังบดขยี้ทีมของ ราฟาเอล เบนิตเซ ตลอด 86 นาทีต่อมา แต่ไม่สามารถเจาะคู่แข่งเพื่อทำประตูได้
ประตูผีของ การ์เซีย หลอกหลอน มูรินโญ่ อีกหลายปีต่อมา และมองว่านี่ไม่ยุติธรรมสำหรับตัวเขาและ เชลซี เลย เนื่องจาก พวกเขาเป็นทีมที่ดีกว่า ลิเวอร์พูล ทั้งในลีก และเกมนั้น ไม่แปลกที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าโดนขโมยโอกาสเป็นเจ้ายุโรปในฤดูกาลนั้น
บาร์เซโลน่า 5-0 เรอัล มาดริด | พฤศจิกายน 2010
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมแพ้ถึง 5-0” มูรินโญ่ กล่าวหลังเกมที่พา เรอัล มาดริด พ่ายแบบยับเยินครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ เอล กลาสซิโก้
ประตูจาก ชาบี, เปโดร, เจฟฟราน และ ดาบิด บีย่า อีก 2 ตุง ทำให้ บาร์เซโลน่า บดขยี้คู่แค้นตลอดกาลไปแบบหมดสภาพ อีกทั้ง ลิโอเนล เมสซี่ ที่เล่นในตำแหน่งปีกขวา ณ เกมนั้น ยังแอสซิสต์ 2 ประตู และโชว์ความอัจฉริยะให้แฟนบอลทั้งโลกได้เห็นตั้งแต่ตอนแรก ๆ ของการแข่งขัน
นอกจากนี้ โลส บลังโกส ยังเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ หลัง เซร์คิโอ้ รามอส ไปผลักหน้าของ การ์เลส ปูโยล กองหลังรุ่นพี่ทีมชาติสเปนของ อาซูลกราน่า
เกมนี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มูรินโญ่ เลยก็ว่าได้ หลังส่งผู้เล่นแนวรุกลงไปวัดแบบเต็มสูบ ทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาริม เบนเซม่า, เมซุต โอซิล และ อังเคล ดิ มาเรีย แต่สุดท้ายกลับพ่ายแบบยับเยิน ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือน หลังจากที่เขาพา อินเตอร์ มิลาน คว้า ทริปเบิลแชมป์ เท่านั้น
เชลซี 2-4 แบรดฟอร์ด ซิตี้ | มกราคม 2015
มูรินโญ่ ต้องช็อกตาตั้งอีกครั้งหนึ่งในอาชีพกุนซือ หลัง เชลซีของเขา ถูก แบรดฟอร์ด ซิตี้ ทีมที่มีอันดับต่ำกว่าถึง 49 อันดับในฟุตบอลอังกฤษ สมบทแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ เขี่ยตกรอบคาบ้านใน เอฟเอ คัพ รอบ 4 ฤดูกาล 2014-15
แรกเริ่มของการแข่งขันในวันนั้น ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องเซอร์ไพรส์ขึ้น เมื่อ สิงห์บลู ออกนำทีมจากลีกวันไปก่อนถึง 2-0 แม้จะโดนตีไข่แตกเป็น 2-1 ช่วงท้ายครึ่งแรกก็น่าจะผ่านเข้ารอบต่อไปแบบไม่มีปัญหาอะไร
ทว่าทีมของ สเปเชียล วัน กลับผิดฟอร์มอย่างหนักในช่วงครึ่งหลังต่อมา ทั้ง ๆ ที่มีนักเตะระดับท็อปเกือบทุกตำแหน่งทั้ง ออสการ์, รามิเรส, อัซปิลิกวยต้า, เคฮิลล์, ฟาเบรกาส, วิลเลี่ยน หรือ อาซาร์ ก่อนโดน แบรดฟอร์ด รัวคืน 3 ประตู ตกรอบบอลถ้วยไปแบบชอกช้ำ
มูรินโญ่ ได้รับรายงานว่าเขาไปแสดงความยินดีกับ แบรดฟอร์ด ที่เอาชนะพวกเขาและผ่านเข้ารอบไปได้ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเกมล้มยักษ์ยุคใหม่ของบอลถ้วยเอฟเอ คัพ ด้วย ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่า สแตมฟอร์ด บริดจ์ ที่เคยแข็งแกร่งในช่วงแรกที่ กุนซือชาวโปรตุกีส คุม ไม่ใช่ป้อมปราการที่ไร้เทียมทานอีกต่อไป
เลสเตอร์ 2-1 เชลซี | ธันวาคม 2015
มูรินโญ่ เริ่มต้นปี 2015 ด้วยการตกรอบเอฟเอ คัพ ให้กับทีมต่างชั้น และจบปีนั้นด้วยผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยคุมที่ในฟุตบอลอังกฤษมาเลย
เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้เป็นสมัยที่ 4 แต่พวกเขากลับหมดสภาพแชมป์เก่า หลังจบอันดับที่ 10 ฤดูกาลต่อมา ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากเกมแรกของ มูรินโญ่ ในฤดูกาลนั้นที่เสมอ สวอนซี 2-2 หลังมีปัญหากับสต๊าฟที่เข้าไปดูอาการของ อาซาร์ ช้าเกินไป ก่อนที่ลูกทีมแทบทุกคนจะฟอร์มตกในเกมต่อ ๆ มา
ฟางเส้นสุดท้ายของ โรมัน อับราโมวิช มาสิ้นสุดที่เกมพบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนั้น ซึ่งตอนนั้น สิงห์บลู รั้งอันดับที่ 16 มีแต้มห่างจากโซนตกชั้นไม่มากนัก เมื่อบวกกับการที่ กุนซือชาวโปรตุกีส ไม่ได้รับความไว้วางใจจากลูกทีม ทำให้นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเขาแล้วในการพิสูจน์ตัวเอง
และก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดไว้ มูรินโญ่ ถูกปลดในเช้าวันต่อมา หลังความพ่ายแพ้ 2-1 ทำให้นี่กลายเป็นจุดจบของเขาและสโมสรจาก ลอนดอน ที่ไม่มีวันหวนกลับมาคืนดีได้อีก
เวสต์แฮม 3-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | กันยายน 2018
แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยต้องพบเจอการสับลูกทีมตัวเองบ่อย ๆ ผ่านสื่อของ มูรินโญ่ ในช่วงครึ่งปีสุดท้ายที่เขาคุม ปีศาจแดง ไม่ว่าจะเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่โดนจวกว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโต, อ้างว่าเตะบอลได้ดีพอ ๆ กับ ดาบิด เด เคอา หรือก่อนหน้านี้ก็เคย จัดหนักใส่ ลุด ชอว์ ว่าเล่นดีได้เพราะทำตามที่เขาบอก ในเกมเสมอ เอฟเวอร์ตัน ปี 2016
ก่อนเกมดวล เวสต์แฮม ภาพหลุดของ มูรินโญ่ ปะทะคารมณ์ กับ พอล ป็อกบา กลายเป็นไวรัลทั่วโซเชียล มีเดีย และกลายเป็นที่สิ่งที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในตัวกุนซือชาวโปรตุกีส ตั้งแต่วันนั้น อีกทั้ง มูรินโญ่ ยังเอ่ยปากโจมตีบอร์ดสโมสรอยู่เรื่อย ๆ ที่ไม่ยอมคว้านักเตะมาให้ตามที่ตนต้องการ
เมื่อถึงเวลาการแข่งขัน ขุนค้อน ออกนำไปก่อนถึง 2-0 ตั้งแต่ครึ่งเวลาแรก แม้ แรชฟอร์ด ยิงตีไข่แตกให้ทีมได้ แต่ มาร์โก อาร์เนาโตวิช ก็บวกประตูเพิ่มให้ทีมของ มานูเอล เปเยกรินี่ เอาชนะไป 3-1 และกลายเป็นการออกสตาร์ทฤดูกาลที่ย่ำแย่ที่สุดของ ยูไนเต็ดในรอบ 29 ปี ก่อนที่ มูรินโญ่จะถูกปลดจากตำแหน่งในอีก 10 เกมต่อมาของพรีเมียร์ลีก