เดอะจีเนียสของจริง :เหตุใด มอยส์ ถึงพาค้อนได้ลุ้นท็อปโฟร์ฤดูกาลนี้   

 

 

  ตีสอง สิบเจ็ดนาที ที่ผู้เขียนกำลังปั่นต้นฉบับในช่วงเวลาอันเงียบสงัดของค่ำคืนวันศุกร์สิ้นเดือนแรกของปีอยู่นี้  มองไปยังตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หลังผ่านพ้นครึ่งทางมาหมาดๆ ก็ไปสะดุดตากับผลงานของทีมหนึ่งที่สร้างเซอร์ไพรส์ไม่มากก็น้อยในฤดูกาลนี้

 

 

 

จากซีซั่นก่อนยังต้องลุ้นหนีตกชั้น ถึงเวลานี้ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด  ทีมเสื้อสวยแห่งกรุงลอนดอน ก็ทะยานเข้ามาติดท็อปไฟว์ของตารางลูกหนังลีกสูงสุดแบบไม่มีใครคาดคิด พร้อมมีแต้มตามหลังจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี เพียง 6 คะแนนเท่านั้น 

 

 

“เราไม่ใช่ เวสต์แฮม ทีมเก่าอีกต่อไป เราคือเวสต์แฮม ยุคใหม่ ที่จะพยายามพัฒนาทีมให้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม” 

 

 

“ผมต้องการพาทีมทะเยอะทะยาน และไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้  ผมหวังว่าผู้เล่นของผมทุกคนจะคิดเสมอว่านี่คือที่ที่เราสมควรจะอยู่ เรามีความสุขกับช่วงเวลานี้ และผมต้องการให้มันเป็นเช่นนี้ไปจนจบฤดูกาล นักเตะกำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และผมตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา ผมต้องการขับเคลื่อนทุกอย่างต่อไป ไม่ใช่แค่ระยะสั้น ”    

 

 

นี่คือคำกล่าวของ เดวิด มอยส์ กุนซือเจ้าของฉายา “เดอะจีเนียส” หลังจบเกมที่พวกเขาบุกไปเอาชนะ คริสตัล พาเลซ ถึงบ้าน 2-3 เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

กุนซือแดนวิสกี้ ไม่ได้เข้ามาเพียงสร้างแพสชั่นแห่งชัยชนะให้กับทีมเท่านั้น แต่เขายังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสโมสร “ขุนค้อน” เมื่อถึงเวลานี้การมี  35 แต้มจาก 20 นัด นั้นนับเป็นคะแนนสูงสุดตลอดกาลของสโมสรหลังผ่านครึ่งฤดูกาลพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว 

 

 

ตลอด 8 ฤดูกาลหลังที่ เวสต์แฮม เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุด ไม่เคยมีปีไหนที่ทีมผลงานได้ยอดเยี่ยมเท่านี้ เพราะทุกครั้งมักจะจบด้วยการลุ้นที่จะทำแต้มให้ถึง 40 คะแนนเพื่อลุ้นหนีตกชั้นเสียมากกว่า 

 

 

ดังนั้นมันจึงเป็นคำถามที่น่าสนใจว่าเหตุอันใด  มอยส์ จึงสามารถทำให้ เวสต์แฮม สร้างปรากฏการณ์ จากทีมลุ้นหนีตกชั้น กลายเป็นทีมที่เหล่าสาวก “เดอะแฮมเมอร์” เชื่อมั่นในตัวนักเตะเมื่อลงสนามในฤดูกาลนี้ได้ วันนี้เราจะพามาหาคำตอบกัน 

 

 

 

 

 

 

 อ็อกบอนน่า ก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักในแนวรับ

 

หนึ่งในสิ่งที่ มอยส์ สมควรได้รับเครดิตอย่างมหาศาล คือการเปลี่ยนแปลงนักเตะภายในทีมเพียงไม่กี่คน และทำให้นักเตะที่มีในอยู่ยกระดับตัวเองขึ้นมา เพราะเขาเขื่อว่าคุณภาพของผู้เล่นนั้นมีมากพออยู่แล้ว  และ อ็อกบอนน่า คือหนึ่งในนั้น 

 

 

 มอยส์  กำจัดรอยร้าวของนักเตะกับผู้จัดการทีม เพราะก่อนหน้านี้ อ็อกบอนน่า นั้นเคยมีปัญหากับ สลาเวน บีลิช และ เปเยกรีนี่  แต่ต้องไม่ลืมว่านี่คือแข้งที่ได้รางวัล  รองชนะเลิศอันดับ 1 นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลที่แล้ว เป็นรองเพียง คีแคลน ไรซ์ เท่านั้น

 

 

ปราการหลังชาวอิตาเลียนวัย 32 ปี  พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นคีย์แมนสำคัญในเกมรับของทีมอย่างแท้จริง และถึงเวลานี้เขาก็พลากลงสนามในพรีเมียร์ลีกไปเพียง 27 นาทีเท่านั้น หลังโดนเปลี่ยนตัวออกจากอาการบาดเจ็บในเกมที่ดวล ฟูแล่ม นอกนั้นเขาเล่นทุกเกมแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย อ็อกบอนน่า พัฒนาตัวเองให้เล่นด้วยความใจเย็นและเคยพาทีมเก็บคลีนชีตได้ถึง 4 ครั้งติดต่อกัน และทำให้เวลานี้เขาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในกองหลังที่ฟอร์มดีที่สุดในลีกไปแล้ว 

 

 

 

 

ดีแคลน ไรซ์ ครบเครื่องยิ่งกว่าเดิม

 

 

มีคำกล่าวที่ว่าหาก ไรซ์ พัฒนาเรื่องการยิงประตูของเขา เราอาจได้เห็นมิดฟิลด์ที่ครบเครื่องที่สุดในพรีเมียร์ลีก 

 

 

ดาวเตะวัย 21 ปี ตกเป็นเป้าหมายของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะ เชลซี ที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ต้องการตัวสุดๆ แต่โดนสโมสรปฏิเสธก่อนที่เขาจะโดนปลดจากตำแหน่ง 

 

 

ก่อนหน้านี้ ไรซ์ เป็นกองกลางที่ยืนอยู่หน้าแผงแบ็กโฟร์มาโดยตลอด รวมไปถึงยังเล่นเซ็นเตอร์แบ็กได้ด้วยซ้ำหากมีความจำเป็น  แต่ มอยส์ ปลดล็อคมิติใหม่ของเขาด้วยการให้เขาพาบอลตะลุยจากเกมรับขึ้นมาเล่นเกมรุกได้ด้วย  ซึ่งยอดกองกลางดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษรายนี้ ก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาให้เห็นในทุกเกม  จนหลายคนเปรียบเขาว่ามีสไตล์การเล่นคล้าย รอย คีน อดีตกองกลางกัปตันทีมแมนฯยูไนเต็ดด้วยซ้ำ 

 

 

ไรซ์ ลงสนามในพรีเมียร์ลีก ทุกนาที และเขาก็กลายเป็นกัปตันทีมคนใหม่แทน มาร์ค โนเบิล ที่โดนดร็อปไป และแน่นอนว่านี่คือแข้งคีย์แมนที่พาทีมก้าวมาอยู่ในระดับท็อปเวลานี้ 

 

 

 

 

 

 

การเสริมทัพที่คุ้มค้าเม็ดเงินทุกเพนนี 

 

 

ไม่เพียงแต่ มอยส์ จะพัฒนาแข้งอย่าง อ็อกบอนน่า และ ไรซ์ แต่เขายังเสริมทัพแข้งเข้ามาแบบชาญฉลาด โดยมองไปที่นักเตะที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักแต่สามารถช่วยยกระดับทีมได้ มากกว่าจะซื้อแข้งดังตามที่สื่อออกข่าวมา ด้วยการคว้าตัว โทมัส ซูเช็ค กองกลางสาธารณรัฐเช็ก (19.1 ล้านปอนด์) และ  วลาดิเมียร์ คูฟาล  (5.4ล้านปอนด์) แบ็กขวา ซึ่งทั้งคู่ย้ายมาจาก สลาเวีย ปราก ทีมในลีกบ้านเกิด  รวมไปถึงจาร์รอด โบเว่น แนวรุกค่าตัว 21.3 ล้านปอนด์ จากฮัลล์ ซิตี้ เข้ามาร่วมทัพ 

 

 

ทั้งสามคนที่เข้ามาเล่นในถิ่น ลอนดอน สเตเดี้ยม ต่างสามารถยึดตัวจริงได้ทั้งหมด และกลายเป็นแข้งแกนหลักของทีมไปแล้ว   ซูเช็ค  ยืนเป็นห้องเครื่องและทำให้ ไรซ์ เล่นได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ  ส่วน โบเว่น ก็พิสูจน์ แล้ว่าเขานั้นยกระดับตัวเองได้จากที่เคยทำผลงานไว้กับ ฮัลล์ และดาวเตะวัย 23 ปี ก็กลายเป็นตัวทีเด็ดของ มอยส์  อยู่ในเวลานี้ 

 

 

 

 

โละแข้งซุปตาร์ไร้ศักยภาพในทีมทิ้ง 

 

 

ความฉลาดของ มอยส์ นอกจาการเสริมทัพ เขายังโละแข้งซูเปอร์สตาร์ประจำทีมออกไปหลายราย อย่าง เซบาสเตียน อัลแลร์ กองหน้าค่าตัวสถิติสโมสรถึง 40 ล้านปอนด์ ก็ถูกปล่อยให้อาแจ็กซ์ เพียง 25 ล้าน ซึ่งนั่นก็ยังดีว่าเก็บไว้กินค่าเหนื่อยทั้งที่รู้ว่าดาวยิงฝรั่งเศส ไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้แล้ว  และเขาก็พอใจมากกว่าที่เวลานี้อย่างน้อยก็มีเม็ดเงินเพื่อหาซื้อกองหน้ารายใหม่มาแบ่งเบาภาระของ มิคาอิล อันโตนิโอ ดาวยิงเพียงคนเดียวของทีมในเวลานี้ 

 

 

นี่ยังไม่นับรวม เฟลิปเป้ อันแดร์สัน แนวรุกค่าตัวแพงชาวบราซิล ที่เล่นบอลติดเลี้ยงและไม่สามารถสร้างความประทับใจให้ มอยส์ ได้เมื่อฤดูกาลที่ก่อนก็ถูกปล่อยให้ เอฟซี ปอร์โต้ ยืมตัวไปแล้ว  และอีกรายคือ ซาอิด เบนราห์มาน ปีกตัวจี๊ด ที่ยืมตัวมากจาก เบรนท์ฟอร์ด พ่วงอ็อปชันซื้อขาด แต่ถึงเวลานี้เขาเพิ่งได้เล่นไปเกมเดียว หลังเล่นไม่ได้ตามปรัชญาของ มอยส์ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าเขาจะไม่ถูกกุนซือแดนวิสกี้ เซ็นสัญญามาร่วมทัพแบบถาวรแน่นอน

 

 

 

 

ไร้แฟนบอลในรังเหย้ากลับเป็นผลดีซะอย่างงั้น 

 

 

จากวิกฤติไวรัสโควิด-19 เชื่อว่าความเงียบสงัดในสนามที่ว่างเปล่า เป็นสิ่งที่นักเตะ และผู้บริหาร ต่างรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน แต่เรื่องนี้ มอยส์ กลับมองว่านั่นทำให้ทีมของเขาไม่ต้องพบความกดดันมากนัก และทำให้นักเตะได้ผ่อนคลาย ไม่เกิดอาการประหม่าจากแฟนบอล รวมทั้งยังสามารถจัดระเบียบภายในทีมได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก 

 

 

หากนับเฉพาะเกมเหย้าในฤดูกาลนี้ เวสต์แฮม ทำผลงานเป็นรองเพียงแค่  แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล เท่านั้น ตลอด 10 นัดที่ผ่านมา พวกเขาชนะไปถึง 5 เกม เสมอ 3 และแพ้ 2 เกมเท่านั้น 

 

 

 

                                                                                DaboyG