เดิมพันด้วยโทรฟี่ : 5 เกมแดร์ คลาสิเกอร์ ที่กลายเป็นศึกตัดสินแชมป์

 

ตลอด 57 ปีที่บุนเดสลีก้า เยอรมัน หนึ่งในเกมที่ได้รับความสนใจในหมู่แฟนบอลมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ศึกแดร์ คลาสิเกอร์ ระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แน่นอน 

 

การดวลแข้งของทั้ง 2 ทีมเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1965 แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เกมนัดนี้ถูกจับตามองจากแฟนบอลยิ่งกว่าในอดีตอย่างมาก เนื่องจาก เสือเหลืองเป็นทีมที่ขึ้นมาท้าทายมหาอำนาจเบอร์หนึ่งอย่างบาเยิร์น มิวนิค ได้มากที่สุดในช่วงนั้น ถึงขั้นแย่งแชมป์ลีกไปครองถึง 2 ปีติดเลย

 

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้เกมระหว่างเสือใต้กับเสือเหลืองดูสนุกเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม มากกว่าไปนั้นบางฤดูกาลที่ทั้ง 2 ทีมพบกัน เกมเหล่านั้นอาจหมายถึงนัดชี้ชะตาในลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์ว่าจะตกเป็นของใคร เช่นในฤดูกาลล่าสุดนี้ที่จะดวลแข้งกันใน 26 พฤษภาคมนี้ด้วย

 

และนี่คือ 5 เกมแดร์ คลาสิเกอร์ นัดสำคัญที่กลายเป็นศึกตัดสินแชมป์บุนเดสลีก้าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

 

 

ดอร์ทมุนด์ 1-0 บาเยิร์น มิวนิค | ฤดูกาล 2011-12

 

 

ในฤดูกาลก่อน ดอร์ทมุนด์ กลายเป็นทีมม้ามืดคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าเหนือความคาดหมาย ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค พยายามเร่งฟอร์มในฤดูกาลใหม่เพื่อคว้าถาดแชมป์เมืองเบียร์กลับมาสู่สโมสรให้ได้

 

แม้จะเริ่มต้นรั้งตำแหน่งจ่าฝูงได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆของฤดูกาล แต่การพ่ายแพ้ เสือเหลืองในเดือนพฤศจิกายน กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเขาหล่นจากอันดับหนึ่งในตาราง แม้จะกลับมาทวงตำแหน่ง แต่เมื่อพวกเขาพลาดเสมอเพียงครั้งเดียวในช่วงปีใหม่ ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ก็รอเสียบแทนทันที

 

เสือใต้ ที่อยู่อันดับ 2 พยายามไล่ตามอย่างอดทนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเกมที่บุกไปเยือน ซึกนัล อิดูน่า ปาร์ค คือโอกาสสำคัญในการทวงตำแหน่งจ่าฝูงได้ แต่ทว่ากลับโดนทีเด็ดจาก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ในช่วงท้ายเกม พ่ายไป 1-0 และกลายเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่ทีมของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส พลาดแชมป์ลีกด้วยน้ำมือของ ดอร์ทมุนด์ 

 

 

ดอร์ทมุนด์ 0-3 บาเยิร์น มิวนิค | ฤดูกาล 2013-14

 

 

หลังฟอร์มตกแบบสุดกู่ในฤดูกาลก่อน ดอร์ทมุนด์ ตั้งเป้าหมายว่าจะคว้าแชมป์ลีกให้ได้อีกครั้งเช่น 2 ฤดูกาลที่แล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้นสูงทีเดียว เมื่อครองจ่าฝูงตั้งแต่ช่วง 2 เดือนแรก โดยไม่แพ้ใครเลย

 

แม้จะสะดุดแพ้ มึนเช่นกลัดบัค จนหล่นไปอยู่อันดับ 2 ในเดือนตุลาคม แต้มของเสือเหลืองก็ยังไม่ห่างจาก บาเยิร์น นัก และยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ แต่เมื่อถึงวันเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เสือใต้ กลับเป็นจุดสิ้นสุดการลุ้นแชมป์อย่างไม่เป็นทางการของพวกเขา

 

ก่อนหน้านี้ ทีมของ คล็อปป์ พ่าย โวล์ฟบวร์กไปแล้ว 2-1 และเหมือนอาการยังไม่ฟื้นไข้ใน แดร์ คลาสิเกอร์ นัดแรกประจำฤดูกาลนี้ เมื่อโดนพี่เสือบุกมาขย้ำถึงถิ่น 3-0 และหล่นไปอยู่อันดับ 3 ด้วย

 

ที่แย่ไปกว่านั้นคือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงปลายเดือนมกราคม พวกเขาคว้าชัยในเกมลีกได้เพียงนัดเดียวจากทั้งหมด 5 เกม และแพ้ไปถึง 2 นัด ผิดกลับช่วงนั้นของ ยอดทีมจากบาวาเรียที่คว้าชัยเก็บได้ทุกนัด

 

 

บาเยิร์น มิวนิค 5-1 ดอร์ทมุนด์ | ฤดูกาล 2015-16

 

 

ดอร์ทมุนด์ เข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัวหลังแยกทางกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ด้วยการแต่งตั้ง โธมัส ทูเคิ่ล เป็นกุนซือคนใหม่ และทุกอย่างก็เริ่มต้นได้สวยงามด้วยการเป็นจ่าฝูงของลีกเมืองเบียร์เหนือ บาเยิร์น มิวนิค ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

 

แต่การพลาดเสมอคู่แข่ง 2 นัดในเดือนพฤศจิกายน ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลต่อความมั่นใจของแข้งเสือเหลืองไม่น้อย และยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เมื่อคู่แข่งในนัดต่อไปคือ เสือใต้ สโมสรคู่อริตัวเต็งแชมป์

 

แม้ชัยชนะของ บาเยิร์น มิวนิค ในเกมนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่พลิกโผอะไรนัก แต่สกอร์ที่ถล่มอาตันตุกะไป 5-1 ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครหลายคนคิดว่าจะเกิดขึ้นเช่นกัน

 

จริงๆแล้ว ดอร์ทมุนด์ ก็ไม่ได้ทำผลงานแย่เลยหลังจากนั้น และแพ้ไปเพียง 3 นัดเท่านั้น แต่ฟอร์มที่สม่ำเสมอและดุดันกว่าของ บาเยิร์น ในมือเป๊ป ทำให้พวกเขาเป็นได้แค่รองแชมป์อีกครั้ง

 

 

ดอร์ทมุนด์ 1-3 บาเยิร์น มิวนิค | ฤดูกาล 2017-18

 

 

เมื่อโธมัส ทูเคิ่ล คือคนที่ไม่ใช่ ทำให้ถิ่นเวสต์ฟาเล่นสตาดิโอน เกิดการเปลี่ยนแปลงเก้าอี้อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ได้ ปีเตอร์ บอสซ์ เข้ามากุมบังเหียน และออกสตาร์ทได้ดูดีมีอนาคต (อีกแล้ว)

 

ตัดภาพกลับมาที่บาเยิร์น มิวนิค ทีมกำลังมีปัญหาภายใน เมื่อนักเตะรุ่นใหม่ในทีมไม่ต้องการให้ คาร์โล อันเชล็อตติ คุมทีมต่อไป เนื่องจากถูกตั้งคำถามเรื่องแท็คติก และถูกปลดไปในช่วงปลายเดือนกันยายน ก่อนที่พี่เสือจะเรียกตัวปู่ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส กลับมาใช้บริการอีกครั้ง

 

ช่วงเดือนตุลาตมนั้นเองกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทั้ง 2 ทีม เมื่อ เสือเหลืองกลับพลาดท่าพลิกล็อกพ่ายทั้ง ไลป์ซิก, ฮันโนเวอร์ และ เสมอ แฟรงค์เฟิร์ต แตกต่างจากพี่เสือภายใต้กุนซือใหม่หน้าเก่า ที่พาทีมเก็บชัยรวดตลอดเดือนนั้น ก่อนจะบุกไปพบกับคู่แข่งลุ้นแชมป์ในนัดต่อไป

 

แม้จะเล่นในซึกนัล อิดูน่า ปาร์ค ก็ไม่ได้ทำให้พลพรรคเสือเหลืองแข็งแกร่งขึ้นเลย และโชว์ฟอร์มบู่พ่ายแก่ ยอดทีมจากบาวาเรียไป 3-1 มากไปกว่านั้น ดอร์ทมุนด์สะกดชัยชนะไม่ได้เลยจนถึงเดือนธันวาคมจนร่วงไปอยู่อันดับ 8 ก่อนที่บอร์ดจะสั่งปลด บอสซ์ พ้นตำแหน่ง

 

 ทางด้าน บาเยิร์น แม้จะมีสะดุดเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ครองอันดับหนึ่งของลีกตั้งแต่นั้นจนถึงตอนจบ คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 28 ไปครอง ส่วนดอร์ทมุนด์ก็เร่งเครื่องเต็มที่ได้แค่ที่ 4 เท่านั้น

 

 

บาเยิร์น มิวนิค 5-0 ดอร์ทมุนด์ | ฤดูกาล 2018-19

 

 

นี่น่าจะเป็นฤดูกาลที่ ดอร์ทมุนด์ เข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์บุนเดสลีก้า มากที่สุด นับตั้งแต่หมดยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เมื่อ ลูเซียน ฟาฟร์ กุนซือคนใหม่สร้างทีมพลังหนุ่มได้อย่างยอดเยี่ยม จนรั้งจ่าฝูงของลีกแบบยาวๆ

 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก นิโก้ โควัช กุนซือคนใหม่ของ บาเยิร์น มิวนิค ที่ยังปรับจูนนักเตะให้เข้ากับระบบการเล่นได้ไม่ดีนัก จนทำให้ฟอร์มการเล่นย่ำแย่และมีบางช่วงที่หลุดตำแหน่งท็อปโฟร์ด้วยซ้ำ

 

อย่างไรก็ตามในช่วงกลางฤดูกาล กลับเป็นเสือเหลืองที่กดดันตัวเองจนทำแต้มเสียแบบไม่ควรเสียในหลายๆนัด จนถูก เสือใต้ ไล่บี้ทำคะแนนตามหลังเข้ามาเรื่อยๆ 

 

นัดชี้ชะตาแชมป์ลีกประจำฤดูกาล 2018-19 ก็มาถึง เมื่อพวกเขาต้องบุกไปเยือน อัลลิอันซ์ อารีน่า ก่อนจะโดนจัดหนักไปเละเทะ 5-0 พร้อมเสียตำแหน่งจ่าฝูงและแชมป์ให้กับยอดทีมจากแคว้นบาวาเรีย ตั้งแต่ตอนนั้นยันจบฤดูกาล