เมื่อตู้เย็นกลายร่าง : เทียบผลงานลูกากูคราบงูใหญ่กับปีสุดท้ายในปีศาจแดง

 

โรเมลู ลูกากู ต้องทนทรมานกับฤดูกาลสุดท้ายในแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ทว่าเขาเรียกฟอร์มเก่งกลับมาอีกครั้ง และอาจจะดีที่สุดในอาชีพค้าแข้งด้วย นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม อินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัว 74 ล้านปอนด์ในปี 2019

 

ณ เวลานี้ บิ๊กรอม ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่กับฤดูกาลแรกในถิ่น ซาน ซีโร่ และมีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ารอบชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า ยูโรป้าลีก อีกทั้งยังกลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงติดต่อกัน 10 นัดรวดในฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็ก หลังจากคว้าอันดับ 2 ในเซเรียอา

 

แน่นอนว่าทั้งรูปร่างและฟอร์มการเล่นของ ลูกากู ในปัจจุบัน ย่อมยอดเยี่ยมกว่าสมัยที่ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลสุดท้ายชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะดีมากขนาดไหนนั้น UFA ARENA จะพาไปวิเคราะห์สถิติด้านต่างๆผ่านบทความชิ้นนี้ 

 

 

ประตูและแอสซิสต์มากเป็น 2 เท่า

 

 

ลูกากูในฤดูกาล 2019-20 จัดว่าอยู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมสุดๆ ด้วยผลงาน 33 ประตูกับอีก 6 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 50 นัดในทุกรายการ โดยมีค่าเฉลี่ยยิงหรือจ่ายๆทุกการลงเล่น 105.1 นาที

 

นั่นหมายความว่า กองหน้าทีมชาติเบลเยี่ยม มีส่วนร่วมกับประตูมากถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับฤดูกาล 2018-19 ทั้งๆที่ลงสนามมากกว่าแค่ 5 นัด

 

บิ๊กรอม กดไป 15 เม็ด กับ 4 แอสซิสต์ ในฤดูกาลสุดท้ายกับปีศาจแดง ซึ่งเขามีส่วนร่วมในการทำประตูหรือจ่ายทุกๆลูกที่ 157.9 นาที

 

ด้วยประตูที่ทำให้ งูใหญ่ มากมายไม่แปลกที่ ลูกากู จะโดนคู่แข่งไล่หวดทำฟาวล์ถึง 0.6 ครั้งต่อเกม แตกต่างกับตอนอยู่ในปีศาจแดงอย่างมากที่ฟอร์มการยิงประตูตกลง จนคู่แข่งส่วนใหญ่ไม่ได้ระแวดระวังเท่าไหร่ และโดนทำฟาวล์แค่ 0.1 ครั้งต่อ 90 นาทีเท่านั้น

 

 

อิมแพ็คเกมรุกที่โดดเด่นกว่าเดิม

 

 

แม้จะว่าจะทำแอสซิสต์เพียง 2 ลูก ในเซเรียอา ฤดูกาล 2019-20 แต่รู้หรือไม่ว่า ลูกากู มีค่าเฉลี่ยการสร้างโอกาสถึง 1.6 ครั้งต่อ 90 นาที ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อยกับตำแหน่งกองหน้าตัวจบสกอร์ในทีม

 

มากไปกว่านั้น นี่คืออีกจุดนึงที่พัฒนากว่าสมัยที่สวมเสื้อปีศาจแดงในฤดูกาลก่อน ซึ่งในตอนนั้น เขามีค่าเฉลี่ยการสร้างโอกาสเพียง 0.9 ครั้งเกมในพรีเมียร์ลีก

 

ดาวยิงร่างยักษ์ เลี้ยงบอลสำเร็จราว 0.6 ครั้งต่อ 90 นาที ในเซเรียอา และเปอร์เซนต์ประสบความสำเร็จ 54.5% เมื่อเทียบกับสมัยที่เล่นในทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เขาเลี้ยงบอลต่อเกมได้เยอะกว่าที่ 0.9 ครั้ง แต่เปอร์เซนต์ความสำเร็จกลับน้อยกว่าที่ 47%

 

ขณะที่ความแม่นยำในการจ่ายบอล ลูกากู ก็พัฒนาในจุดนี้ได้ค่อนข้างโอเคย้ามค้าแข้งใน ซาน ซีโร่ โดยเขาจ่ายบอลสำเร็จถึง 70.7% จากการจ่ายในลีกสูงสุดแดนมักกะโรนี เทียบกับในพรีเมียร์ลีก เขาจ่ายสำเร็จเพียง 66.3% เท่านั้นในฤดูกาล 2018-19

 

กองหน้าวัย 27 ปี ที่ถูกค่อนขอดเรื่องการจับบอล ก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย หากดูที่สถิติการจับบอลที่ไม่สำเร็จน้อยลง แม้จะไม่สูงกว่าปีก่อนแบบมากมายนัก (2.1 ครั้งต่อเกมในอิตาลี, 2.2 ครั้งในอังกฤษ) แต่เขาเสียบอลในเซเรียอาบ่อยกว่าตอนเล่นในแดนผู้ดี (2.0 ครั้งต่อเกมในอิตาลี, 1.9 ครั้งในอังกฤษ)

 

ด้านการเล่นลูกกลางอากาศ ลูกากู ทำได้ดีกว่าค่อนข้างมากยามล่าตาข่ายใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เนื่องจากถูกจับมายืนค้ำเป็นกองหน้าตัวเป้าบ่อยครั้ง โดยมีค่าเฉลี่ยเอาชนะลูกกลางอากาศ 3.9 ครั้งต่อเกม ในฤดูกาล 2018-19 และเปอร์เซนต์สำเร็จที่ 52%

 

แต่ใน เซเรียอา การมี เลาตาโร่ มาร์ติเนซ เป็นคู่หู ทำให้ลูกากู ไม่ต้องเล่นลูกกลางอากาศบ่อยๆหรือทำหน้านี้ค้ำแดนหน้าเพียงลำพังอีกต่อไป โดยทำไป 2.8 ครั้งต่อ 90 นาที และมีเปอร์เซนต์ความสำเร็จมากกว่าที่ 56%

 

 

ความพยายามในการเล่นรับ

 

 

นอกเหนือจาก หุ่นที่ดูอ้วนตัน, การจับบอล อีกเรื่องที่ ลูกากู ถูกวิพากษ์วิจารณ์สมัยเล่นใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็คือการช่วยเกมรับ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าปะทะที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 0.3 ครั้งต่อเกม (เปอร์เซนต์สำเร็จเพียง 42.9%), แย่งบอลเพียง 0.1 ครั้งต่อเกม และตัดเกมทำฟาวล์คู่แข่งแค่ 0.6 ครั้งต่อ 90 นาทีเท่านั้น ในพรีเมียร์ลีก

 

อย่างไรก็ตาม แม้กลับมามีหุ่นผอมเพรียวเหมือนสมัยเล่นให้ เอฟเวอร์ตัน อีกครั้ง ด้านการแย่งบอลของ บิ๊กรอม ในทีมงูใหญ่ ก็ไม่ได้พัฒนาขึ้นเท่าไหร่ หลังทำไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้นจากการลงเล่นในลีก 33 นัด รวมถึงการเข้าปะทะที่ทำได้เพียง 0.4 ครั้งต่อเกมในเซเรียอา และค่าความสำเร็จที่ 66.6%

 

แต่ถึงอย่างนั้น ลูกากู ก็ดูมีส่วนร่วมกับการหยุดเกมรุกคู่แข่งในทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ เช่นกัน เมื่อเขามีค่าเฉลี่ยการทำฟาวล์ที่ 1.3 ครั้ง, การเคลียร์บอล 0.8 ครั้งต่อเกม รวมถึงการบล็อคลูกยิงที่ 0.2 ครั้งต่อเกม ซึ่งเป็นสถิติที่เขาไม่เคยทำได้ในทีมของ โซลชา อีกด้วย

 

 

‘น้ำหนัก’ ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม

 

 

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า น้ำหนักคือสิ่งที่ ลูกากู โดนวิจารณ์เป็นอันดับต้นๆยามค้าแข้งกับยูไนเต็ด ซึ่งหลายคนมองว่าสิ่งนี้มันส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของเขาอย่างมากจนทำผลงานในสนามตกลงชัดเจน

 

ในช่วงท้ายๆที่อังกฤษ หัวหอกชาวเบลเยี่ยม มีน้ำหนักมากถึง 104 กิโลกรัม แม้จะมีความสูง 193 เซนติเมตร แต่หากวัดค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI จะอยู่ที่ 29 ซึ่งจัดอยู่ว่าเป็นคนอ้วนประเภทที่ 2 

 

อีกทั้งค่าเฉลี่ยมวลกายสำหรับนักกีฬาฟุตบอลที่เคยสำรวจในฟุตบอลโลกปี 2006 พบว่าผู้เล่นกว่า 92 เปอร์เซนต์ในทัวร์นาเม้นต์นั้นมีค่า BMI ระหว่าง 20 ถึง 24.9 แม้จะบันทึกที่เก่าไปหลายปี แต่ก็พอยืนยันได้ว่า บิ๊กรอม เป็นนักเตะมีน้ำหนักเกินกว่าเพื่อนร่วมอาชีพจริงๆ

 

หลังย้ายมาซบ เนรัซซูรี่ เขาถูกสโมสรสั่งให้ลดน้ำหนักให้น้อยกว่า 100 กิโลกรัมให้ได้ แถมมีข่าวในช่วงต้นฤดูกาล 2019-20 ด้วยว่าถ้าเขาลดน้ำหนักตามที่กำหนดไว้ไม่ได้จะพลาดลงเล่นเกมเปิดฤดูกาลกับ เลชเช่ ในเดือนสิงหาคมด้วย

 

เมื่อบวกกับความเฉียบของ คอนเต้ ที่จับเข้าคอร์สลดน้ำหนัก ห้ามกินอาการทอด, ชีส และแอลกอฮอล์ โดยเน้นกินผักและโปรตีนจากเนื้อและไก่แทน ซึ่งผลปรากฎว่า คอร์สของกุนซือชาวอิตาเลี่ยนเห็นผลอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำหนักของหอกวัย 26 ลดลงไป 3 กิโลกรัมภายในไม่กี่สัปดาห์ และเหลือเพียง 93 กิโลกรัมในปัจจุบัน

 

ลูกากูได้ลงเล่นเกมแรกของฤดูกาลที่เอาชนะ เลชเช่ 4-0 พร้อมกับทำประตูแรกในเกมลีกให้กับต้นสังกัดใหม่ทันที และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาโชว์ฟอร์มเปล่งประกายกับ งูใหญ่ ในฤดูกาลนี้