ตามใครไม่ทัน : เมื่อมูรินโญ่กำลังกลายเป็นกุนซือตกยุค

มูรินโญ่

ชายที่ชื่อ ‘โชเซ่ มูรินโญ่’  ประสบความตกต่ำในการคุมทีมอย่างมากในช่วง 5-6 ปีหลังสุด และจบไม่สวยเลยกับ 3 ทีมหลังสุดที่เขาทำหน้าที่

ไล่ตั้งแต่การถูกเชลซีปลดในปี 2015 ที่พาทีมหล่นไปอยู่อันดับที่ 16 , แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีปัญหากับนักเตะและบอร์ดสโมสรจนถูกปลดในปี 2018 หรือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ถูกเด้งหลังคุมทีมได้แค่ปีเศษในฤดูกาล 2020-21

ปัจจุบัน กุนซือชาวโปรตุกีส กำลังทำหน้าที่กุมบังเหียน โรม่า พร้อมด้วยความคาดหวังว่าจะพา ‘จัลโลรอสซี่’ กลับมาผงาดอีกครั้ง หลังออกสตาร์ทได้สวยในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับดูเข้าทรงเดิมเมื่อทีมพ่ายไปแล้ว 5 จาก 11 เกมในลีก โดยเกมล่าสุดก็เพิ่งปราชัยต่อ เวเนเซีย น้องใหม่ 3-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

แม้ความสำเร็จแต่คราวก่อนอาจทำให้ ‘เดอะ สเปเชียล วัน’ ยังเป็นบุคคลที่วงการลูกหนังจับจ้องเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ด้วยฟอร์มการคุมทีมแบบนี้ ไม่แปลกที่หลายคนจะมองว่านี่อาจถึงเวลาขาลงของ มูรินโญ่ อย่างเต็มตัวแล้ว

ว่าแต่เพราะอะไรกัน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ UFA ARENA จะพาวิเคราะห์ถึงเหตุผลต่างๆผ่านบทความนี้กัน

 

ด่าไปใช่ว่าดี

Serie A: Okereke scores as Venezia fight back to sink Mourinho's Roma - Punch Newspapers

การวิพากษ์วิจารณ์นักเตะตัวเองแบบออกสื่อคือสิ่งที่ผู้จัดการทีมวัย 58 ปี ทำเป็นประจำนับตั้งแต่เริ่มต้นเส้นทางสายกุนซือ ไม่ว่าจะอยู่ทีมไหน แนวทางนี้คือสิ่งที่เขาทำมาตลอด

 เขาอาจจะมองว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้ผู้เล่นในทีม แต่จากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านในช่วงหลายปีหลังสุด แผนนั้นดูจะไม่เข้าท่าซักเท่าไหร่ แม้ปัจจุบันยังไม่ได้ออกมาสับลูกทีมใน โรม่า แบบตรงไปตรงมา แต่เริ่มแสดงให้เห็นบ้างแล้วในเกมที่พลิกล็อกพ่าย โบโด-กลิมท์ เละเทะใน ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการตัดชื่อผู้เล่นบางรายออกไป

เช่นเดียวกับการเลือกใช้นักเตะที่หลายคนเชื่อว่าควรได้รับโอกาสมากกว่านี้ อย่าง กอนซาโล่ บียาร์ หรือ บอร์ฆา มาโยรัล ที่ทำผลงานได้โดดเด่นมากเมื่อซีซั่นก่อน แต่กลายเป็นมาปีนี้แทบไม่ได้เล่นเลย

ผู้จัดการทีมหลายคนที่มีคาแร็คเตอร์แข็งกร้าวพบว่าตัวเองมีมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างมาก พวกเขาอาจจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป ไม่ก็โดนไล่ออกไปเลย ทั้ง แซม อัลลาไดซ์, โทนี่ พูลิส และ มาร์ค ฮิวส์ ซึ่ง น้ามู ก็เข้าข่ายเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้ผ่านจุดสุดยอดของพวกเขาเมื่อประมาณ 10 -15 ปีที่แล้ว และไม่มีแนวโน้มว่าช่วงเวลานั้นจะกลับมาในเร็ววันนี้เลย

ขณะเดียวกัน กุนซือทีมใหญ่ๆ ในยุคนี้ ต่างก็มีคาแร็คเตอร์ที่ดูอบอุ่นเป็นมิตร ทั้งกับนักข่าว, นักเตะของตัวเอง, คู่แข่ง หรือ แฟนบอลทั่วไป

ทั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ของ ลิเวอร์พูล, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, โธมัส ทูเคิ่ล กับ เชลซี หรือในเซเรียอาอย่าง ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ ที่ลดดีกรีความโหดลงก็กำลังไปได้สวยด้วยการพา นาโปลี รั้งจ่าฝูงในลีกแดนมักกะโรนี

 

ไม่พัฒนาแถมดูล้าสมัย

Mourinho changes approach and turns attention to VAR and referees - Football Italia

มูรินโญ่ อาจจะโด่งดังจนกลายเป็นกุนซือระดับโลกอย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุไม่มาก แต่แทนที่เขาจะประสบควาามสำเร็จมากขึ้นต่อจากนั้น แต่กลับกัน ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แชมป์ต่างๆที่เขาเคยได้กลับค่อยๆลดน้อยลงไปจนไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันมานานกว่า 4 ปีแล้ว

ปี 2003-2010 น่าจะเป็นช่วงยุคทองของกุนซือชาวโปรตุกีสมากที่สุดในเส้นทางการคุมทีม ซึ่งก็คือ  ปอร์โต้, เชลซี (ยุคแรก), อินเตอร์ มิลาน  พร้อมกับสถาปนาเป็นกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดรวมกันถึง 5 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 สมัย แถมยังช่วยให้งูใหญ่คว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” ได้เป็นทีมแรกในอิตาลีอีกต่างหาก

กุนซือแดนฝอยทอง มีแผนการเล่นที่เน้นเการเล่นเกมรับเป็นหลัก ครองบอลน้อยๆ ไม่เสียประตูไว้ก่อน พร้อมกับใช้ลูกสวนกลับ หรือความผิดพลาดจากคู่แข่งเป็นทีเด็ด ทั้งที่จริงๆแล้ว นี่เป็นแนวทางสำหรับทีมรองที่เอาไว้ต่อกรกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า แต่ กุนซือชาวโปรตุกีส ก็นำมาปรับใช้ปรัญชาการเล่นของตัวเองจนกวาดแชมป์ต่างๆมานอนกอดมากมาย

สถิติที่ ‘เดอะ สเปเชียล วัน’ พาเชลซี เสียประตูแค่ 15 นัดในฤดูกาล 2004-05 ซึ่งน้อยที่สุดตลอดกาลในพรีเมียร์ลีก เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่า แผนการและกลยุทธ์ที่เขานำมาใช้ในเกมลูกหนังประสบความสำเร็จแค่ไหน

หลังจากนั้น แม้ผลงานจะแผ่วๆลงมาบ้างกับ เรอัล มาดริด หรือ เชลซี ในช่วงคำรบที่ 2 แต่น้ามูก็ยังพาทั้ง 2 ทีมคว้าแชมป์ลีกได้อย่างละสมัยด้วยกัน 

ทว่าหลังจากฤดูกาล 2014-15 กุนซือแดนฝอยทอง ก็ไม่เคยได้สัมผัสกับแชมป์ลีกเลย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเล่นฟุตบอลแบบเน้นเกมบุกค่อยๆกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง และมีการพัฒนาต่อยอดขึ้นมาให้เข้ากับฟุตบอลสมัยใหม่ ผิดกับแผนเน้นเกมรับที่ไม่อะไรพลิกแพลงมากขึ้น นอกจากเล่นเกมโต้กลับเร็ว และทีมใหญ่บางทีมมักจะเลือกนำมาใช้ในเกมที่ต้องเน้นผลการแข่งขันเท่านั้น

แถมในสมัยที่คุมทีมในโอลด์ แทร็ฟอร์ด เขายังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กับสไตล์การทำทีมที่ไม่เหมาะสมกับ ‘ปีศาจแดง’ ที่เป็นทีมที่มีจุดเด่นในการเล่นรุก ไม่ว่าจะเป็นยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือ ยุคก่อนพรีเมียร์ลีก มากกว่าเอารถบัสมาจอดขวางหน้าประตูแบบนี้

ซึ่งรูปแบบเหล่านี้  เขาก็ยังนำมาใช้กับ สเปอร์ส แต่เมื่อไรก็ตามที่ขาด แฮร์รี่ เคน, ซอน เฮือง มิน ก็ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพก็เล่นเกมรุกของทีมน้อยกว่าเดิมหลายเท่าตัว 

แน่นอนว่ากับ โรม่า เขาก็ยังใช้รูปแบบการเล่นนี้เป็นหลักเช่นเคย ทว่าเกมรับที่เคยเป็นจุดเด่นในทีมของ มูรินโญ่ ในวันนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว เนื่องจาก ‘หมาป่ากรุงโรม’ เสียประตูไปถึง 15 ลูก จาก 12 นัดในลีก 

หากรวมในราย ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ไปอีก 4 นัดในรอบแบ่งกลุ่มก็แสดงให้เห็นว่าเกมรับมีปัญหายิ่งขึ้น เมื่อเสียถึง 9 ประตู ซึ่งมาจาก โบโด-กลิมท์ ทีมโนเนมจาก นอร์เวย์ ถึง 8 ลูก 

เท่ากับว่าจาก 16 นัดในทุกรายการ โรม่าในในมือมูโดนไปแล้ว 24 ดอก ยังดีที่ผู้เล่นตัวรุกยังโชว์ฟอร์มได้ไฉไลช่วยกันยิงได้ถึง 31 ลูก ไม่เช่นนั้นทีมคงดูไม่จืดแน่

 

ความสนุกสนานที่หายไป

Mourinho turns on Roma and referees: 'I have to protect myself' - Football Italia

ในสมัยที่ รอย คีน ค้าแข้งกับ น็อตติ้งแฮม  ฟอเรสต์ เขาเคยถูกไบรอัน คลัฟ ชกเข้าไปเต็มหน้า หลังจ่ายบอลคืนหลังพลาด แถมยังบอกด้วยว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ คลัฟ เคยทำเพื่อผมเลย” 

กรณีของ มูรินโญ่ อาจไม่ได้ดูสุดโต่งเหมือนอยางที่ กุนซือ ‘เจ้าป่า’ เคยจารึกไว้บนหน้าของ คีโน่  แต่การที่ชอบออกมาโทษนักเตะในทีมแบบนั้นแบบนี้ หรือ บอกว่าเล่นแย่มากแค่ไหน แสดงให้เห็นว่าการทำแบบนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความสร้างสรรค์เลย แม้ว่าในตอนนี้จะเพลาๆมากกว่าในสมัยที่เพิ่งเริ่มงานกุนซือก็ตาม

วิธีการของมูดูจะเข้ากับนักเตะที่อยู่ในยุคที่ฟุตบอลยังไม่ได้มีเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายเหมือนในตอนนี้, ผู้ที่เคยเป็นนักเตะเยาวชนในช่วงยุคก่อนพรีเมียร์ลีก และถือเป็นเรื่องโชคดีที่พวกเขาสามารถไปต่อในเส้นทางข้างหน้าได้

มาในวันนี้ วิธีของกุนซือแดนฝอยทองดูจะเป็นผลเสีย : เห็นได้จากการที่เขาเกือบทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกในห้องแต่งตัวของเรอัล มาดริด ; พาเชลซีตกลงไปอันดับที่ 16 หลังจาก 16 เกมผ่านไปในปี 2015 ; การที่เขาออกมาวิจารณ์นักเตะในทีม ‘ปีศาจแดง’ เกือบสองครั้งต่อสัปดาห์ 

และที่สำคัญ มีแค่ ปอร์โต้ กับ อินเตอร์ มิลาน เท่านั้น ที่กุนซือวัย 57 ปี บอกลาตำแหน่งนายใหญ่ของทีมได้ค่อนข้างสวยงาม นอกนั้นคงไม่ต้องบอกว่าเป็นอย่างไร

ปัจจุบัน นักเตะดาวรุ่งต่างรู้ว่าวงการนี้มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง การใช้ชีวิตแบบมหาเศรษฐีอาจจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และพวกเขาก็ไม้ได้มานั่งทำความสะอาดห้องแต่งตัวหรือทำความสะอาดรองเท้าให้นักเตะรุ่นพี่ในทีมอีกแล้วในวัยนั้น

 

จงเปลี่ยนแปลงเมื่อมีโอกาส

Roma win Mourinho's 1000th game with late goal, Real Madrid rout Celta - CGTN

ฟุตบอลได้เปลี่ยนไปแล้ว โลกก็เช่นกัน ในยุคที่นักฟุตบอลไม่ต่างกับดารา,ข่าวสารตลอด 24 ชั่วโมง และ การตัดสินผู้คนบนโลกโซเชี่ยลมีเดีย ถ้านักเตะเหล่านี้สามารถแยกแยะคำวิจารณ์เหล่านั้นออกมาได้ มันอาจะเป็นหนทางที่ทำให้เขาไปในเส้นทางที่นักเตะรุ่นก่อนไม่เคยเข้าไปก็ได้ 

ไม่ว่าคุณจะเรียกเด็กพวกนี้ว่า นิสัยเสีย, อ่อนไหว หรือ ไม่มั่นคง มันก็แค่ความหมายหนึ่งเท่านั้น ประเด็นก็คือนักเตะในวันนี้แตกต่างจากยุคก่อนๆแล้ว ความท้าทายของผู้จัดการทีมจึงไม่ใช่การเปลี่ยนให้พวกเขาเป็นเหมือนเมื่อก่อน แต่ต้องเปลี่ยนให้พวกเขาตอบสนองกับสิ่งที่เราต้องการมากกว่า

 และถ้าผลลัพธ์มันออกมาในทางที่ดี นั่นเป็นเพราะโค้ชที่ดีจริงๆคือคนที่ตระหนักว่า การให้กำลังใจและการผ่อนผัน ไม่ใช่แค่คำๆหนึ่งเท่านั้น ซาร์รี่เคยกล่าวไว้ว่า “เขารู้ว่ามีความเป็นเด็กมีอยู่ในนักฟุตบอลทุกคน ส่วนที่สนุกอยู่ตรงนั้น แทคติกก็คือสิ่งที่สำคัญ แต่เราต้องไม่เสียการมองเห็นรูปแบบของเกม และแน่ใจว่าเด็กที่อยู่ข้างในตัวผู้เล่นกำลังสนุกสนานอยู่ด้วย ”

คำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่มูรินโญ่ และอีกหลายๆคนควรนำไปทบทวนให้ดี หรือจะให้ดีกว่านี้ ก็ลองเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการทำงานร่วมกับทีมให้ดีขึ้นกว่าเดิม ก็อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าการใช้ลูกไม้เดิมๆซ้ำไปซ้ำมากับนักเตะยุคใหม่ๆ

เพราะเรื่องที่ชายวัยกลางคนต่อต้านความบกพร่องของวัยรุ่นในยุคใหม่นี้ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วในอารยธรรมของมนุษย์โลก และขอสปอยล์หน่อยว่า ไม่มีครั้งไหนที่คนหัวโบราณหัวดื้อด้านจะเป็นฝ่ายที่ได้ชัยชนะไปครองหรอกนะ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

กุนซือ
ไม่ไหวก็ไม่ฝืน! 10 กุนซือลาออกเองเซ่นผลงานห่วย