ความพ่ายแพ้ต่อ บาเยิร์น มิวนิค 3-0 คาบ้านของ เชลซี ในแชมเปี้ยนส์ลีก ทำให้พวกเขาแทบจะหมดลุ้นไปต่อในรอบถัดไปแล้ว อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าทีมจากลอนดอนยังด้อยประสบการณ์ในเวทียุโรปมากแค่ไหน
มีหลายจังหวะในครึ่งหลัง ณ สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ที่นักเตะเสือสีแดง เดินหน้าบุกไปอย่างดุดัน เพื่อหวังทำประตูเจ้าบ้านให้ได้มากที่สุด และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ปกติมักจะกระตุ้นลูกทีมอยู่ข้างสนาม พอมาในวันนี้ เขาทำได้เพียงนั่งถอนหายใจบนเก้าอี้ แถมดูไร้พลังไม่ต่างลูกทีมของเขาเองในสนามนัก
ครั้งสุดท้าย สิงห์บลู พบกับ เสือใต้ ในรายเวทีนี้ แลมพ์ เป็นฝ่ายได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์ไปทั่ว อัลลิอันซ์ อารีน่า แต่ในคืนวังอังคารนี้ แลมพาร์ด ต้องพบกับความปราชัยแบบหมดรูปในฐานะกุนซือ และไม่มีโอกาสทำได้เหมือนในปี 2012 เลย
รู้อย่างเดียวไม่พอ
ทีมจากลอนดอน ยังคงอยู่ในเกม ณ เวลาครึ่งหลัง และอาจจะทำประตูได้ด้วยซ้ำ หากพวกเขาโชว์ความนิ่งได้มากกว่านี้ในแนวรุก แต่เมื่อ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ลื่นเสียจังหวะ ในนาทีที่ 50 ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ในเกมนั้น
แซร์จ นาบรี้ จ่ายบอลให้ โรเบิร์ต เลวานดอสกี้ ก่อนที่ หัวชาวโปล จะจ่ายคืนให้ ปีกชาวเยอรมันซัดผ่านตัว วิลลี่ กาบาเยโร่ เข้าไป จากนั้นอีก 3 นาทีต่อมา คู่หูคู่เดิม ก็ประสานงานกันจนช่วยทำประตูทิ้งห่างเจ้าบ้านเป็นลูกที่ 2 ก่อนที่ อดีตแข้งดอร์ทมุนด์ จะยิงเพิ่มเป็นประตูที่ 3 จากการเปิดลูกเลียดของ อัลฟอนโซ่ เดวิส
แลมพาร์ด รู้ดีว่าจะตนเองจะต้องอะไรจาก ยอดทีมเมืองเบียร์ชุดนี้ รู้ดีว่านี่เป็นทีมที่รัว 7 เม็ดใส่ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ จากการเยือนลอนดอนครั้งล่าสุด เมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว อีกทั้ง ก่อนหน้าที่จะเยือนเมืองหลวงแดนผู้ดีอีกครั้ง พวกเขายิงได้ถึง 34 ประตู จาก 10 เกมหลังสุดในทุกรายการ
แต่การรับรู้ว่าจะเจออะไร กับ การรู้ว่าจะป้องกันอย่างไร คือสิ่งที่แตกต่างกันสิ้นเชิง แลมพาร์ด เคยกล่าวว่า เชลซี จะต้องไม่แสดงความผิดพลาด และต้องรักษาสมาธิให้ได้หากหวังจะคว้าผลลัพธ์ที่ดี แต่หลังจากโดนลูกแรก สิงห์บลู ก็ไม่สามารถกลับมาสู่เกมได้เลย และเรื่องโชคดีไม่น้อยที่พวกเขาไม่โดนนำห่างตั้งแต่ต้นเกม
กุนซือสิงห์บลู ได้อธิบายสิ่งที่ทำให้ตนผิดหวังมากที่สุดหลังเกมว่า ลูกทีมขาดความมั่นใจ และ ความนิ่งในการเล่นกับบอล พวกเขาสร้างโอกาสในครึ่งแรก แต่ก็ไม่สามารถครองเกมได้ และสถิติต่างๆก็ดูแย่ไม่น้อย เพราะ 90 นาทีในเกมนั้น พวกเขาได้ครองบอลเพียง 37 เปอร์เซนต์ และจ่ายบอลแค่ 394 ครั้งเท่านั้น ขณะที่ บาเยิร์น จ่ายไป 692 ครั้ง
ประสบการณ์และคุณภาพ
รอส บาร์คลี่ย์, เมสัน เม้าท์ และ รีช เจมส์ คือ 3 นักเตะเชลซีที่ได้ลงเล่นเป็นนัดแรกใน แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อคเอ้าท์ ขณะที่ฝั่ง เสือใต้ ดูแตกต่างกันชัดเจน เนื่องจากเต็มไปด้วยผู้เล่นที่มีประสบการณ์ในเวทียุโรป และนอกเหนือจาก แลมพาร์ด โธมัส มูลเลอร์, มานูเอล นอยเออร์ และ เจโรม บัวเต็ง ก็คืออีก 3 คนในสนามที่ได้ลงเล่นนัดชิงในปี 2012
นอกจากนี้ ช่องว่างระหว่างพวกเขา ไม่ได้มีแค่ประสบการณ์เท่านั้น แต่คุณภาพคือทำให้พวกเขาห่างชั้นขึ้นไปอีก
ฝั่งเจ้าบ้าน บาร์คลี่ย์ จ่ายบอลสำเร็จเพียงแค่ 7 ครั้งจาก 61 นาทีในสนาม แตกต่างจาก นาบรี้ จากฝั่งเสือใต้ ที่ยิงไป 2 ประตูในเกมนี้ ทำให้เขาซัดไป 5 ตุง จาก 2 เกมที่เล่นในลอนดอนฤดูกาลนี้
https://www.youtube.com/watch?v=M-epgUEASaA&t=155s
ส่วนกองหน้าอย่าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ไม่สามารถสร้างปัญหาในแนวรับคู่แข่งได้เลย หรือ แทมมี่ อับราฮัมที่ลงมาในช่วงท้ายเกมด้วย ผิดกับ เลวานดอฟสกี้ ยิงเพิ่มเป็นลูกที่ 39 ในฤดูกาลนี้เรียบร้อย
เจมส์ เป็นหนึ่งในแข้งเชลซีไม่กี่คนทำผลงานได้ประทับใจใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่แข้งดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดในเกมวันนั้น ต้องยกให้ เดวิส ที่บุกทะลวงแนวรับฝั่งขวาของเจ้าบ้านจนขาดวิ่น พร้อมกับทำ 1 แอสซิสต์งามๆในลูกที่ 3 ด้วย
ขณะที่ บาร์คลี่ย์ และ เม้าท์ ก็ยังทำผลงานไม่ได้ใกล้เคียงระดับเดียวกับ อดีตแข้งอาร์เซน่อล ในเกมนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
แลมพาร์ด คงหวังว่า แข้งดาวรุ่งจะเรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้ พวกเขาแสดงศักยภาพให้เห็นพอสมควรในฤดูกาลนี้ และมีแววก้าวขึ้นไปเป็นแข้งตัวหลักของสโมสรในอนาคต และผลการแข่งขันก็ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องนั้นแต่อย่างใด
ทว่า เกมนี้เป็นอีกเครื่องเตือนใจว่า เชลซี ยังห่างไกลจากจุดที่พวกเขาเคยอยู่มากแค่ไหน และต้องมีการลงทุนพอตัวในการยกระดับทีมให้กลับมาอยู่จุดนั้น
จุดอ่อนจาก 2 ฝั่งสนาม
กุนซือสิงห์บลู ยกย่อง มาเตโอ โควาซิช ว่าเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำผลงานเข้าตาในนัดดังกล่าวมากที่สุด ณ งานแถลงข่าวหลังเกม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจุดแข็งของทีมชุดนี้คือ แผงกองกลาง แต่ แผงหลังและ กองหน้า กลับกลายเป็นจุดอ่อนของทีมที่หลายคนคงสังเกตุได้ในนัดล่าสุด
กาบาเยโร่ โชว์ฟอร์มเซฟได้ดีในช่วงครึ่งแรก แต่นายด่านวัย 38 ปี ก็ไม่ใช่คนที่จะมาแก้ปัญหาผู้รักษาประตูในระยะยาวได้ อีกทั้งพวกเขายังขาดกองหลังผู้ที่ทำผลงานได้สม่ำเสมอ และสามารถเป็นหัวใจในเกมรับได้
การเข้ามาของ ฮาคิม ซีเยค จาก อาแจ็กซ์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเกมรุกได้แน่นอน เพียงแต่พวกเขาก็ยังต้องเสริมทัพในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าด้วยเช่นกัน เเพราะการมีแค่ แทมมี่ อับราฮัม, มิตชี่ บัตชูอายี่ และ ชิรูด์ คงไม่เพียงพอต่อการก้าวไปเป็นยอดทีมได้แน่ๆ
ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อย ที่ แลมพาร์ด ไม่เดินหน้าคว้าแข้งใหม่ในตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา และเชื่อว่า กุนซือสิงห์บลูคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบอร์ดสโมสรจะเดินหน้าคว้านักเตะจากตำแหน่งต่างๆที่เขาต้องการในช่วงซัมเมอร์
ดังนั้น แทนที่ทีมจะได้ชูถ้วยแชมป์ไปรอบสนามหลังสิ้นเสียงนกหวีด ณ ตอนนี้ แลมพาร์ด คงทำได้แค่เดินไปที่มุมของสนาม เพื่อปรบมือให้กับแฟนบอลที่อดทนอยู่กับพวกเขาจนจบการแข่งขันเท่านั้นในฤดูกาลนี้
และบทเรียนที่พวกเขาได้รับในเกมล่าสุด แสดงให้เห็นว่าเชลซีในมือของแลมพ์ ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมากในการพาต้นสังกัดกลับมาเป็นสโมสรที่มีศักยภาพในการลุ้นแชมป์ทุกรายการที่ลงเล่นอีกครั้งในอนาคต