ราชันในคราบสีส้ม : เมื่อแข้งออรันเย่เรืองอำนาจในเรอัล มาดริด 

ราชันในคราบสีส้ม : เมื่อแข้งออรันเย่เรืองอำนาจในเรอัล มาดริด 

บาร์เซโลน่า ถือเป็นบ้านอีกหลังของแข้งชาวดัตช์มาหลายปี นับตั้งแต่ โยฮัน ครัฟฟ์ และ โยฮัน นีสเกนส์ ในยุค 70 เรื่อยมาจนถึง เฟรงกี้ เดอ ยอง หรือ เมมฟิส เดอปาย ในปัจจุบัน แต่ช่วงเวลาหนึ่ง ทีมอริตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด ก็เต็มไปด้วยแข้งแดนกังหันลมไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2006 ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ได้ก้าวลงจากตำแหน่งประธานสโมสรของ ‘โลส บลังโกส’ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของทีม

5 เดือนต่อมา รามอน กัลเดร่อน ถูกโหวตให้เป็นประธานคนใหม่ พร้อมกับเขี่ยทีมกาลาติกอสของ เปเรซ ออกไป และสร้างทีมในมือของตนขึ้นมาใหม่ ด้วยการคว้าแข้งชาวดัตช์มาเสริมแกร่งหลายรายด้วยกัน ทำให้ ‘ราชันชุดขาว’ ยุคนั้นเต็มไปด้วยสีส้มอยู่พักใหญ่

ว่าแต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และไปถึงจุดจบแบบไหน UFA ARENA จะพาทุกท่านไปย้อนเรื่องราวผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

พี่ม้าผู้บุกเบิก

Squawka on Twitter: "ON THIS DAY: In 2006, Ruud van Nistelrooy joined Real Madrid from Man Utd for just £10.3m. 👕 96 games ⚽ 64 goals He won La Liga & the

กัลเดร่อน เริ่มการปฏิวัติในทันทีที่นั่งแทนหัวเรือใหญ่ของสโมสรด้วยการคว้าตัวรุด ฟาน นิสเตลรอย จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังสร้างชื่อเป็นดาวยิงเบอร์ต้นๆในทวีปยุโรป เมื่อบวกกับปัญหาไม่ลงรอยกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และความต้องการอยากย้ายมาเล่นในสเปน ทำให้ เรอัล มาดริด อาศัยความได้เปรียบด้วยการจ่ายค่าตัวไปเพียง 13.5 ล้านปอนด์เท่านั้น

นี่แสดงให้เห็นถึงความฉลาดหลักแหลมของ ประธานคนใหม่ทันที เมื่อแข้งวัย 30 ปี ณ ตอนนั้น ทำแฮตทริกได้ตั้งแต่เกมที่ 2 ในลีก กับ เลบานเต้ ก่อนจะยิง 4 ประตูในเกมเดียวในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ฟอร์มการเล่นนี้ทำให้ โรนัลโด้ ที่มีปัญหาด้านความฟิตต้องตกเป็นตัวสำรองไปโดยปริยาย

 ฟาน นิสเตลรอย ยังรักษามาตรฐานของตนเองได้จนจบฤดูกาล ด้วยการยิงไปทั้งหมด 33 ประตู จาก 47 นัดในทุกรายการ พร้อมกับได้รับฉายาจากแฟนๆว่า ‘ฟาน โกล’

อีกทั้ง 25 ประตูที่เขาทำได้ในลีก ยังช่วยให้ ‘โลส บลังโกส’ คว้าแชมป์ลาลีก้า มาครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี 

นั่นทำให้ ฤดูกาลแรกของ กัลเดร่อน ในฐานะประธานสโมสร ประสบความสำเร็จอย่างมาก หลังคว้ากองหน้าดัตช์แมนมาร่วมทีม ดังนั้นจึงไม่เรื่องแปลก หากเขาจะคว้าเพื่อนร่วมชาติของ ฟาน นิสเตลรอย มาเพิ่ม และไม่ได้คว้าแค่รายเดียว แต่เพิ่มมาใหม่ถึง 3 คน

 

สีส้มครองเมือง

Real Madrid: Van de Beek would be Florentino Perez's first Dutch signing | MARCA in English

เมื่อตอนที่ กัลเดร่อน ก้าวขึ้นมาเป็นประธาน เขาสัญญาว่าจะคว้า อาร์เยน ร็อบเบน มาร่วมทีมให้ได้ และในปีต่อมา เขาก็ทำได้จริง หลังจ่ายให้เชลซีด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ 

ในเวลาต่อมา ทีมเมืองหลวงจากสเปน ก็บุก เอเรดิวิซี่ เพื่อดึง เวสลี่ย์ สไนเดอร์ และ รอยสตัน เดรนเธ่ มาร่วมทัพ ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ และ 12 ล้านปอนด์ ตามลำดับ

ภายในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะแค่ซัมเมอร์เดียว มีแข้งทีมชาติฮอลแลนด์ ย้ายมาค้าแข้งใน ซานติอาโก้ เบอร์เนาเบว ถึง 3 คน และในตอนนั้น เดรนเธ่ ก็ยังถือว่าเป็นแข้งอนาคตไกลของทัพ ‘อัศวินสีส้ม’ อยู่

ลีลาการสังหารลูกนิ่งของ สไนเดอร์ ทำให้มาดริดนิสต้า ไม่คิดถึง เดวิด เบ็คแฮม อีกต่อไป ขณะที่ ฟาน นิสเตลรอย ก็ยังรักษาฟอร์มในฤดูกาลได้เป็นอย่างดี ทำให้ช่วงคริสมาสต์ 2 แข้งชาวดัตช์ ทำไปทั้งสิ้น 17 ประตู กับ 12 แอสซิสต์ พร้อมพาต้นสังกัดรั้งอันดับหนึ่งในลีกด้วย

หลังเปลี่ยนศักราชใหม่ ร็อบเบน ที่หายกลับมาฟิตสมบูรณ์ได้ลงเล่นในเป็นตัวจริงครั้งที่ 3 ในเดือนกุมภาพันธ์ และกลายเป็นแข้งคนสำคัญในทีมร่วมกับ สไนเดอร์ และ ฟาน นิสเตลรอย อย่างรวดเร็ว

จบฤดูกาล เรอัล มาดริด ก็คว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน โดยที่ 3 ขุนพลแดนกังหันลม ทำไป 37 ประตู และ 24 แอสซิสต์ รวมกันในทุกรายการ

หากไม่ได้พวกเขา ผลลัพธ์ในฤดูกาล 2007-08 อาจแตกต่างไปจากนี้ก็เป็นได้ 

 

ดัตช์แมนสิ้นท่า

When Real Madrid went Dutch

ในซัมเมอร์ปี 2008 ทีมชาติฮอลแลนด์ เป็นตัวเต็งคว้าแชมป์ยูโรในปีนั้น หลังถล่มทีมใหญ่อย่าง อิตาลี 3-0 และ ฝรั่งเศสหมดรูป 4-1 โดยคนที่โดดเด่นที่สุดในทีมก็คงหนีไม่พ้น 3 แข้งจาก เรอัล มาดริดอย่าง สไนเดอร์, ร็อบเบน และ ฟาน นิสเตลรอย อยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่โดนม้ามืดอย่าง รัสเซีย พลิกล็อคในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

นอกจากนี้ แข้งออรันเย่ที่โดดเด่นมากอีกคนก็คือ ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ทำให้ ‘ราชันชุดขาว’ รีบคว้าตัวมาร่วมทีมจาก ฮัมบูร์ก ด้วยค่าตัวแสนถูกที่ 10 ล้านปอนด์เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เขาเริ่มต้นกับทีมใหม่ได้แตกต่างจากเพื่อนร่วมชาติคนอื่นๆมากพอตัว หลังได้ใบแดงในศึก สแปนิช ซูเปอร์ คัพ นัดสองที่พบ บาเลนเซีย ต้องขอบคุณ 3 ประตูใน 2 นัดของ ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำให้สโมสรคว้าแชมป์มาครองได้ และเป็นแชมป์รายการเดียวของพวกเขาในปีนั้น

แต่หลังจาก สไนเดอร์ บาดเจ็บตั้งแต่ช่วงเปิดฤดูกาลใหม่ๆในลีก ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ก็กลับมาคืนฟอร์มอีกครั้ง พร้อมกับทำแฮตทริกแรกในอาชีพค้าแข้งในนัดที่ถลุง สปอร์ติ้ง กิฆ่อน 7-1 ในเดือนกันยายน

.ในเกมเดียวกันนั้น ร็อบเบนก็ยิงไป 1 ประตู กับเหมา 2 แอสซิสต์ ขณะที่ ‘ฟาน โกล’ ของสาวก ‘โลส บลังโกส’ ก็ยิงไป 7 ประตูใน 10 เกม แต่ทว่าข่าวร้ายก็เกิดในสัปดาห์ต่อมา เมื่อกองหน้าตัวเก่งของทีม บาดเจ็บที่หัวเข่าปิดเทอมยาวก่อนใครส่งผลให้ มาดริด หลุดเส้นทางลุ้นแชมป์ตั้งแต่ครึ่งแรกของฤดูกาล

พวกเขาแพ้ไปถึง 10 เกมในช่วงที่เหลือของปี 2008 หนึ่งในนั้นคือเกมที่พ่าย บาร์เซโลน่า 2-0 ด้วยน้ำมือของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่กำลังพาทีมคว้าแชมป์ลีกในปีนั้น

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อีกครั้ง กัลเดร่อน ตัดสินใจปลด แบรนด์ ชูสเตอร์ พ้นตำแหน่ง และดึง ฮวนเด้ รามอส เข้ามาคุมแทน และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือการเสริมทัพด้วยแข้งดัตช์แมน (อีกแล้ว)

คลาส แยน ฮุนเตลาร์ ที่มีสไตล์เพชรฆาตในกรอบเขตโทษเหมือนกับ ฟาน นิสเตลรอย ได้ย้ายมาค้าแข้งกับยอดทีมแดนกระทิงด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์จาก อาแจ็กซ์ โดยหวังว่า ‘เดอะ ฮันเตอร์’ จะเป็นตัวแทนระยะยาวของ อดีต ‘หอกปีศาจแดง’ ที่เข้าสู่ช่วงบั้นปลายอาชีพค้าแข้งแล้ว

การเข้ามาของ รามอส สร้างผลกระทบด้านบวกให้กับสโมสรอย่างมาก ด้วยการพาทีมชนะ 18 และเสมออีก 1 จาก 19 เกมแรกในลีกของปี 2009 ร็อบเบน ซัดไป 6 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ในบทบาทใหม่ทางปีกขวา ซึ่งจะกลายเป็นตำแหน่งถาวรของเขาในอีกหลายปีหลังจากนี้ ขณะที่ ฮุนเตลาร์ ก็ทำได้ดีไม่แพ้กันกับ 8 ตุงใน 15 นัด

ด้วยฟอร์มแบบนี้อาจทำให้พวกเขากลับมารั้งตำแหน่งจ่าฝูงอีกครั้ง แต่ บาร์ซ่าในมือของ เป๊ป ไม่ต่างอะไรกับทีมจากนอกโลก แถมบุกมาเหยียบจมูกพวกเขาถึงถิ่น เบอร์นาเบว 6-2 พร้อมกับการีนตีแชมป์ลีกเรียบร้อยในขณะที่เหลือเกมการแข่งขันอีก 4 นัดในฤดูกาล

นี่เป็นปีที่แย่ที่สุดในช่วง 3 ปีหลังสุดของเรอัล มาดริด และนักเตะชาวดัตช์ก็ไม่สามารถช่วยทีมได้เหมือนเมื่อก่อน ร็อบเบนอาจเป็นดาวเด่นของพวกเขาในปีนี้ก็จริง แต่การขาด ฟาน นิสเตลรอย ก็ส่งผลต่อแนวรุกอย่างมาก อีกทั้ง สไนเดอร์ กับ ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ก็มีสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกันเกินไป ทำให้ไม่สามารถหาฟอร์มการเล่นที่เสมอต้นเสมอปลายได้ ส่วน เดรนเธ่ ก็กลายเป็น เดรนเธ่ อย่างที่แฟนบอลรู้จักดีในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังมีความสุขในทีมดีอยู่ และหวังจะพาสโมสรกลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง เพียงแต่วันเหล่านั้นมาถึง เหล่าแข้งแดนกังหันลมก็ไม่เคยมีโอกาสนั้นอีกเลย

 

สิ้นสุดยุคสีส้ม

ช่วงปลายเดือนมกราคมปี 2009 กัลเดร่อน ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานสโมสร และเมื่อฤดูกาลนั้นจบลง ชายที่ถูกเขาแทนที่อย่าง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ก็กลับมานั่งบัลลังก์ตัวเดิมอีกครั้ง  พร้อมนำนโยบายสร้างทีมกาลาติกอสกลับมาอีกหน

‘ราชันชุดขาว’ เริ่มแผนการแรกด้วยการคว้าตัว ริคาร์โด้ กาก้า จาก เอซี มิลาน ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก 56 ล้านปอนด์ และพวกเขาก็ทำลายสถิติโลกอีกครั้งในไม่กี่วันต่อมา เมื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทีมค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาไล่เรียกับที่ทีมเซ็น คาริม เบนเซม่า จาก โอลิมปิก ลียง เข้ารัง

เมื่อ เพลย์เมกเกอร์,ปีก และ กองหน้าตัวใหม่ ย้ายมาร่วมทีม นั่นหมายความว่าไม่มีที่ว่างสำหรับ ร็อบเบน, สไนเดอร์ และ ฮุนเตลาร์ อีกต่อไป 2 รายแรกถูกขายให้กับ บาเยิร์น มิวนิค และ อินเตอร์ มิลาน ตามลำดับ ซึ่งไปได้สวยทั้งคู่กับต้นสังกัดใหม่ ผิดกับ ‘เดอะ ฮันเตอร์’ ที่ล้มเหลวหนักมากกับ เอซี มิลาน

ฟาน นิสเตลรอย ก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บมากเกินกว่าจะมอบสัญญาใหม่ได้ ขณะที่ ฟาน เดอร์  ฟาร์ท กับ เดรนเธ่ ยังคงอยู่กับทีมต่อไป แต่มีเพียงอดีตกองกลางจาก ฮัมบูร์ก เท่านั้นที่ดูประสบความสำเร็จมากที่สุดในปีสุดท้ายของเขาในสเปน

ในซัมเมอร์ปี 2011 ไม่มีนักเตะชาวดัตช์ ลงเหลืออยู่ใน เบอร์นาเบว อีกเลย เรอัล มาดริด ยกเครื่องทีมใหม่ยกชุด และประสบความสำเร็จอย่างที่ทีมไม่พบเจอมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สิ้นสุดยุคขุนพล ‘อัศวินสีส้ม’ ใน ‘โลส บลังโกส’ แต่เพียงเท่านี้

และนับตั้งแต่นั้นมา พวกเขาก็เคยคว้านักเตะชาวดัตช์มาร่วมทีมอีกเลย…

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้ : แข้งใจแกร่งผู้เอาชนะมะเร็งร้ายถึง 2 หน
ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้ : แข้งใจแกร่งผู้เอาชนะมะเร็งร้ายถึง 2 หน