เริ่มต้นยุคใหม่ : 5 จุดที่ฟลิคควรปรับเพื่อภารกิจพาอินทรีผงาดคืนสู่ยอดทีม

 

ทีมชาติเยอรมันกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัวหลังความพ่ายแพ้ต่ออังกฤษ 2-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกยูโร 2020 

 

หลังทัวร์นาเม้นต์นี้ โยอาคิม เลิฟ ที่คุมทีม ‘อินทรีเหล็ก’ มาอย่างยาวนานกว่า 15 ปี เตรียมก้าวลงจากตำแหน่งนายใหญ่ และส่งต่อให้กับ ฮานซี่ ฟลิค ที่จะเข้ามารับช่วงต่อจากเขาอย่างเป็นทางการหลังจากนี้เป็นต้นไป

 

แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของ ฟลิค กับการสร้างเยอรมันในยุคใหม่นี้คือการทำให้ เยอรมัน กลับไปเป็นยอดทีมเบอร์ต้นๆของโลกอีกครั้ง เนื่องจากนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018 ผลงานของทีมก็ตกลงอย่างชัดเจน

 

และเพื่อให้ อดีตกุนซือ บาเยิร์น มิวนิค เริ่มต้นงามใหม่ได้อย่างราบรื่น UFA ARENA จึงขอแนะนำ 5 จุดที่ควรปรับปรุงเพื่อให้ เยอรมัน กลับมาเป็นยอดทีมอีกครั้งก่อนลุยฟุตบอลโลก 2022

 

 

ให้ คิมมิช เป็นหัวใจในแดนกลาง

 

La réaction virulente de Joshua Kimmich devant le tirage au sort de l'Euro 2020 - Sport.fr

 

ตลอดช่วงครึ่งหลังในเกมที่ทำให้ เยอรมัน ตกรอบ ณ เวมบลี่ย์ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กองหลังทีมชาติอังกฤษ สามารถตัดบอลในแดนกลางของ ‘อินทรีเหล็ก’ ได้หลายครั้ง ก่อนส่งบอลไปให้ แฮร์รี่ เคน อีกทั้งยังมีหลายครั้งที่ แนวรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พาบอลขึ้นมาได้จนรู้สึกว่าคู่แข่งปล่อยให้เขามีพื้นที่มากเกินไป

 

เลิฟ อาจแก้ปัญหานี้มาแล้วด้วยการโยกให้ โจชัว คิมมิช มาเล่นเป็นกองกลาง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาลงเล่นเป็นประจำกับ บาเยิร์น มิวนิค และ ฟลิค สามารถทำให้ แข้งเบอร์ 6 ของ เยอรมัน เป็นแกนหลักในแผงมิดฟิลด์ทีมชาติในยยุคของเขาได้ เพราะเขาก็ใช้งาน คิมมิช ในตำแหน่งนี้เป็นหลักเช่นกันสมัยคุม ‘เสือใต้’

 

คิมมิช มีทั้งความเป็นผู้นำ, การอ่านเกมที่ชาญฉลาด อีกทั้งยังรั้งตำแหน่งนักเตะที่จ่ายบอลขึ้นหน้าและจ่ายบอลทะลุช่องมากที่สุดใน บุนเดสลีก้า ฤดูกาลก่อนด้วย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการสร้างเกมรุกของเขาจากแผงมิดฟิลด์ แข้งวัย 26 ปี อาจยอดเยี่ยมสุดๆในการเล่นเป็นแบ็คขวาด้วยก็จริง แต่ในตอนนี้ เยอรมัน จำเป็นต้องใช้ความสามารถอันหลากหลายของเขาเป็นเสาหลักในแดนกลาง

 

 

เลิกใช้แผน 3-4-3

 

How Germany's strongest lineup would look like in Euro 2020

 

การเริ่มหันมาใช้กองหลัง 3 คนของ เยอรมัน เริ่มต้นในเดือนตุลาคมปี 2018 หลังจากที่พวกเขาตกรอบฟุตบอลโลกที่รัสเซีย แบบหมดสภาพแชมป์เก่าตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในการทดลองสิ่งใหม่ ณ เวลานั้น ด้วยการไม่ใช้งาน 2 กองหลังมากประสบการณ์อย่าง มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ กับ เจอโรม บัวเต็ง และให้โอกาสแข้งหน้าใหม่ได้เข้ามาในทีมชาติ  

 

ทว่า เกมรับของ ‘อินทรีเหล็ก’ ก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมเท่าไหร่นัก จนสุดท้ายต้องเรียก ปราการหลังจาก ดอร์ทมุนด์ กลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในยูโร 2020 ซึ่งผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะกลับมาใช้งาน แผงหลังแบบ 4 คน

 

สิ่งนี้จะช่วยให้ เยอรมัน ใช้ทรัพยากรผู้เล่นเกมรุกได้ดียิ่งขึ้น เมื่อผู้เล่นแนวรับสามารถโยกมาเล่นเป็นตัวรุกพิเศษได้ และด้วยการที่ ฟลิค เป็นแฟนตัวยงของระบบ 4-2-3-1 ช่วงที่พา บาเยิร์น คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ ในฤดูกาล 2019-20 จึงทำให้เป็นไปได้ว่า ‘อินทรีเหล็ก’ ในมือของเขา จะใช้แผนนี้ก่อนลุยฟุตบอลโลกที่ กาตาร์ และเป็นสิ่งที่แฟนบอลเมืองเบียร์ยินดีให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

 

 

แบ็คโฟร์โฉมใหม่

 

Die deutsche Abwehr um Mats Hummels und Antonio Rüdiger machte bisher nicht immer den sichersten Eindruck. - Stuttgarter Nachrichten

 

โรบิน โกเซ็นส์ กลายเป็นหนึ่งในนักเตะไม่กี่คนของ เยอรมัน ที่ทำผลงานได้โดดเด่นในยูโร 2020 ซึ่งนั่นเท่ากับว่าตำแหน่งแบ็คซ้ายที่เป็นช่องโหว่มาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ ฟิลิปส์ ลาห์ม ลาทีมชาติไปถูกแก้ไขแล้ว แต่ใครกันที่ยืนร่วมกับ แข้งอตาลันต้า ในแผงแบ็คโฟร์นี้?

 

ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่ 3 เซ็นเตอร์แบ็คที่ได้ลงเป็นตัวจริงในเกมพ่าย อังกฤษ แน่นอน กับการสร้างเยอรมันในยุคใหม่ ทั้ง ฮุมเมิ่ลส์ ที่จะอายุครบ 33 ในปีนี้นี้, มาธิอัส กินเทอร์ ที่แสดงให้เห็นว่ายังไม่ดีพอในเกมที่ผ่านๆมา และ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ที่โดน kicker สื่อลูกหนังเมืองเบียร์ มองว่าเป็นจุดอ่อนในแผงหลังของ ‘อินทรีเหล็ก’

 

ฟลิค อาจดึง นิคลาส ซูเล่ ที่ทำหน้าที่ตัวสำรองในยูโร 2020 กลับมาเป็นตัวจริงในทีมชาติอีกครั้ง เนื่องจากกองหลังจาก บาเยิร์น มิวนิค มีทั้งความรวดเร็ว, แข็งแกร่ง และเล่นกับบอลได้ดี ขณะเดียวกันตำแหน่งแบ็คขวาก็จำเป็นต้องหาคนมาแทนที่ คิมมิช และ รีเดิล บากู จาก โวล์ฟสบวร์ก น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี หลังแข้งวัย 23 ปี เป็นแบ็คที่คล่องแคล่ว เลี้ยงบอลได้ดี และมีสถิติการบล็อกลูกยิงโดดเด่นกว่าผู้เล่นทุกคนในบุนเดสลีก้าฤดูกาลก่อนด้วย

 

ขณะที่เซ็นเตอร์แบ็คอีกคนอาจลองให้โอกาส ลูคัส คลอสเตอร์มันน์ กองหลังจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับ ซูเล่ และน่าจะเล่นกันเข้าขารู้ใจ แม้อยู่คนละสโมสรกันก็ตาม

 

 

ใช้กองหน้าธรรมชาติหน้าใหม่

 

There it was, the moment that keeps you awake at night' - Muller speaks out on decisive miss against England | Goal.com

 

เยอรมัน เข้ามาเล่นยูโร 2020 โดยมีกองหน้าธรรมชาติเพียงคนเดียวเท่านั้นก็คือ เควิน โวลแลนด์ จาก โมนาโก ซึ่งไม่ได้รับความไว้วางใจเท่าไหร่ เนื่องจาก เลิฟ มักเลือกใช้ ติโม แวร์เนอร์, แซร์จ นาบรี้, ไค ฮาเวิร์ตซ์ และ โธมัส มุลเลอร์ เป็นตัวเลือกแรกก่อนเสมอในตำแหน่งกองหน้าตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมด 4 คนนี้ ล้วนทำผลงานได้ดีกว่าในบทบาทสนับสนุนเกมรุก มากกว่าแบกภาระยิงประตูด้วยตัวเอง

 

โชคไม่ดีสำหรับ ‘อินทรีเหล็ก’ ที่ตำแหน่งนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ภายในเวลาอันสั้น โดยเหล่ากองหน้าดาวรุ่งที่มีแววใน เยอรมัน มีทั้ง ยุสซูฟา มูโกโก้ หอกอนาคตไกลวัย 16 ปีของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ หรือ ลูคัส เอ็นเมช่า จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ หากเขารักษามาตรฐานได้เหมือนตอนเล่นกับ อันเดอร์เลชท์ แบบยืมตัวในฤดูกาลที่แล้ว หรือกับ เยอรมันชุด U-21 ที่เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ยูโรรุ่นเล็กมาครองหมาดๆ

 

หากไม่ได้ผลจริงๆ ฟลิค คงต้องใช้ตัวเลือกแดนหน้าที่เขามีในชุดนี้ไปก่อน ซึ่ง ฮาเวิร์ตซ์ อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเล่นเป็นกองหน้า ณ เวลานี้ แม้นี่ไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาทำได้ดีทีสุดก็ตาม 

 

 

เชื่อมั่นในดาวรุ่ง

 

There was no English blood in there!' – Musiala's decision to pick Germany welcomed by Bayern team-mate Muller | Goal.com

 

ปัจจัยหลักที่ชี้ว่าทีมกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ คือเหล่าดาวรุ่งมากพรสวรรค์ที่ก้าวขึ้นมาเป็นสร้างชื่อในปัจจุบัน ทั้งฮาเวิร์ตซ์, แวร์เนอร์, นาบรี้, ซูเล่ หรือ ซาเน่ คือแข้งในชุดใหญ่ที่มีอายุไม่ถึง 25 ปี ซึ่งพวกเขาสามารถกลายเป็นเสาหลักของ เยอรมัน ในยุคต่อไปได้ ขณะที่ดาวรุ่งไม่น้อยก็อาจได้โอกาสฉายแววก่อนลุยฟุตบอลโลกในปีหน้า

 

ไม่ว่าจะเป็น จามาล มูเซียล่า เพลย์เมกเกอร์วัย 18 ปี จาก บาเยิร์น มิวนิค ที่ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่ไปแล้ว 5 นัด, ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ปีกอนาคตไกลวัย 18 ปี ที่โดดเด่นสุดกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ฤดูกาลก่อน ด้วยการมีส่วนร่วมกับ 17 ประตูจาก 47 นัดในทุกรายการ

 

รวมไปปถึง มูโกโก้ ที่เพิ่งขึ้นมาเล่นชุดใหญ่กับ ดอร์ทมุนด์, ลูก้า เน็ตซ์ แบ็คซ้ายวัย 18 ปีจาก แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ที่ฉายแววความเป็นผู้นำในฤดูกาลก่อน ซึ่งนักเตะเหล่านี้ ร่วมถึงดาวรุ่งคนอื่นๆ จะได้รับประสบการณ์มากขึ้นในฤดูกาลใหม่ และคงไม่ใช่เรื่องแปลกใจ หากเห็นพวกเขาติดอยู่ในทีมชุดลุยฟุตบอลโลกที่ กาตาร์ ในปี 2022

ข่าวที่เกี่ยวข้อง   แมตช์หยุดโลก : จัดอันดับ 10 เกมสุดมันส์สิงโตประชันอินทรีเหล็กหลังยุค 2000

แมตช์หยุดโลก : จัดอันดับ 10 เกมสุดมันส์สิงโตประชันอินทรีเหล็กหลังยุค 2000