เรียกน้ำย่อย! 5 สโมสรที่ทำลายสถิติค่าตัวนักเตะไปแล้ว

 

กำลังอยู่ในช่วงปิดฤดูกาลสำหรับลีกหลักๆของยุโรป สโมสรดังๆหลายต่อหลายทีมหรือแม้กระทั่งบรรดาทีมระดับกลางๆลงไปต่างยังไม่มีการเคลื่อนไหวการโยกย้ายนักเตะมากนัก อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงการเพิ่งเริ่มเจรจาหรือไม่ก็อาจสุ่มเงียบไม่อยากให้สื่อรู้ แต่ก็มีบางทีมที่ได้ฤกษ์เปิดตัวกันไปแล้ว โดยก็มีฮือฮากันบ้างกับบางสโมสรที่ลงทุนกันไปอย่างรวดเร็วและวันนี้ทีมงาน UFA Arena.com จะพาไปดูกันว่าทีมใดบ้างที่ซื้อแข้งหน้าใหม่จนเป็นสถิติของสโมสรไปแล้วในซัมเมอร์นี้

 

5.วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอส์ (ราอูล จิมิเนซ 38 ล้านยูโร)

 

 

หมาป่าวูฟล์แฮมป์ตันกลับขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2018/19 หลังใช้เวลา 5 ปีในการลงเล่นอยู่ในลีกรองของเมืองผู้ดี ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ทำให้พวกเขาติดถึงอันดับ 7 ของตารางลีกและได้สิทธิ์ไปเล่นรอบคัดเลือกในศึกยูโรป้าลีกอีกต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอในบอลถ้วยก็สามารถทะลุผ่านไปถึงรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นฤดูกาลที่น่าปลาบปลื้มเป็นอย่างมากกับสโมสรเล็กๆแห่งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาท็อป 6 ทั้งหลาย

 

และสำหรับฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาที่ผ่านไปนั้น คงไม่ได้ดีเท่านี้ ถ้าไม่มีชายที่ชื่อ ราอูล จิมิเนซ กองหน้าชาวเม็กซิกันที่ยืมตัวมาจากสโมสรเบนฟิก้า ในลีกโปรตุเกส โดยดาวเตะแดนจังโก้ ฝากฝีเท้าที่น่าประทับใจเอาไว้ด้วยการยิงให้วูลฟ์ไปถึง 17 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีถึง 6 ลูกและอีก 3 แอสซิสต์ด้วยกันที่เขาสามารถช่วยให้ทีมหมาป่าต่อกรกับทีมอย่างลิเวอร์พูล, ท็อตแนมฮอตสเปอร์, เชลซี, อาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้อย่างสนุกตื่นเต้น

 

 

ก่อนสิ้นสุดฤดูกาลที่ผ่านมาสโมสรวูฟล์แฮมป์ตันได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาได้ตกลงเซ็นสัญญากับดาวยิงชาวเม็กซิโกอย่างถาวรด้วยสนนราคาที่ 38 ล้านยูโร โดยกุนซือของทีมอย่างนูโน่ ซานโต้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในฤดูกาลที่จะถึงนี้ศูนย์หน้าจากทวีปอเมริกาเหนือยังคงรักษามาตรฐานการถล่มประตูได้อย่างต่อเนื่อง

 

4.ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น (เคเรม เดเมียร์บาย 32 ล้านยูโร)

 

 

เคเรม เดเมียร์บายเป็นผลผลิตจากศูนย์ฝึกเยาวชนของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก่อนที่จะมีข่าวว่าเจ้านายเก่าอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ย้ายไปคุมลิเวอร์พูลในขณะนั้น สนใจที่จะดึงตัวเด็กปั้นรายนี้ไปอยู่ที่แอนฟิลด์ด้วย แต่ถึงอย่างไรเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เขายังคงอยู่เล่นในลีกเมืองเบียร์ต่อไปเมื่อไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จัดการเซ็นสัญญากับเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

เดเมียร์บายเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการลงเล่นให้ ฮอฟเฟนไฮม์ ในฤดูกาลที่ 3 ของเจ้าตัว โดยเขายิงให้ต้นสังกัดไปได้ถึง 12 ลูกกับอีก 27 แอสซิสต์จากการลงสนามไปเพียง 88 เกมเท่านั้นและด้วยค่าตัวถึง 32 ล้านยูโรทำให้ทีมห้างขายยาคาดหวังว่าเขาจะมาทดแทนการจากไปของยูเลี่ยน บรันด์ที่ย้ายค่ายไปอยู่ในถ้ำเสืองเหลืองกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ได้เป็นอย่างดี

 

สำหรับสถิติเก่าในการซื้อนักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรนั่นก็คือในรายของลูคัส ฮิลาริโอ ในปี 2017กับจำนวนเงิน 24 ล้านยูโร

 

3.โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (มัทซ์ ฮุมเมิลส์ 30.5 ล้านยูโร)

 

 

สำหรับฤดูกาลที่แล้วของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ถือว่าเป็นอะไรที่น่าผิดหวังและน่าเจ็บใจที่สุดเมื่อพวกเขาพลาดถาดแชมป์บุนเดสลีก้าไปอย่างน่าเสียดายทั้งที่รักษาช่องว่างการเป็นจ่าฝูงมาอย่างเนิ่นนาน สุดท้ายก็มาตายตอนจบ ทำให้ซีซั่นที่จะมาถึงนี้รองแชมป์ลีกเมืองเบียร์หวังจะกลับมาทวงความสำเร็จให้จงได้ โดยในซัมเมอร์นี้พวกเขาทุ่มทุนเสริมความแข็งแกร่งอย่างหนักไปกับนักเตะใหม่อย่างบ้าคลั่งด้วยการเซ็นสัญญาถาวรกับปาโก้ อัลกาเซร์จากนั้นก็ไปเอาตัวระดับท็อปของลีกมาได้ถึง 3 คนไม่ว่าจะเป็น ยูเลี่ยน บรันด์, ธอร์แกน อาซาร์ และ นิโค ชูลซ์ แต่ที่น่าเซอร์ไพส์สุดๆของทีมน่าจะเป็นการรียูเนี่ยนกลับมาประจำการแนวรับของ มัทซ์ ฮุมเมิลส์

 

เมื่อ 3 ปีก่อน ฮุมเมิลส์ ได้ย้ายออกจากดอร์ทมุนด์ไปอยู่กับเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค และในตอนนี้กองหลังวัย 30 ปีก็กลับมาตายรังกับทีมเดิมอีกครั้งซึ่งการย้ายตัวในหน้าร้อนนี้ถือว่าเป็นการทำลายสถิติค่าตัวผู้เล่นที่แพงที่สุดของสโมสรเลยทีเดียว โดยเสืองเหลืองยินดีจ่ายค่าสินสอดในคราวนี้ไปทั้งสิ้น 30.5 ล้านยูโร

 

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟชาวเยอรมันลงเล่นให้กับดอร์ทมุนด์ไป 309 เกมในช่วงแรกและคว้าโทรฟี่กับสโมสรไปถึง 5 รายการด้วยกัน ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้หวังว่าเขาจะช่วยอุดแนวรับที่หละหลวมของเสืองเหลืองได้เป็นอย่างดีหลังทีมโดนทะลวงประตูในซีซั่นก่อนไปถึง 44 ดอก

 

2.บาเยิร์น มิวนิค (ลูคัส เฮอร์นันเดซ 80 ล้านยูโร)

 

 

ฤดูกาลที่แล้ว บาเยิร์น ทำผลงานได้น่าผิดหวังมากกับถ้วยยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกหลังกระเด็นตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ มีเพียงได้แค่แชมป์ลีกภายในประเทศเท่านั้นที่จะพอปลอบขวัญพวกเขาได้บ้าง เมื่อเบียดเข้าป้ายเอาชนะดอร์ททมุนด์แบบเฉียดฉิว ทำให้ซีซั่นที่จะมาถึงนี้ทีมแห่งแคว้นบาวาเรียจำเป็นต้องยกเครื่องกันใหม่เลยทีเดียว เพราะได้ปล่อยผู้เล่นตัวหลักออกจากทีมไปหลายคนทั้งอาร์เยน ร็อบเบน, ฟร็องก์ รีเบรีและ ราฟินญ่ารวมถึงกองหลังตัวกลางอย่าง มัทซ์ ฮุมเมิลส์

 

โดยการถ่ายเลือดใหม่ของเสือใต้ในคราวนี้พวกเขาต้องการสร้างแนวรับที่แข็งแกร่งกว่าเดิม โดยได้ทำการนำเข้านักเตะฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก 2018 มาถึง 2 คนด้วยกัน ทั้งเบนจามิน ปาวาร์ดและลูคัส เฮอร์นันเดซ ซึ่งทั้งคู่เล่นในตำแหน่งแบ็คขวาและแบ็คซ้ายตามลำดับ ซึ่งเงินที่ลงทุนไปกับแข้งเมืองน้ำหอม 2 รายนี้ถือว่าเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว เบ็ดเสร็จค่าตัวรวมกันอยู่ที่115 ล้านยูโร โดย 80 ล้านยูโรเป็นของเฮอร์นันเดซ 

 

ด้วยวัย 23 ปีดาวเตะเมืองน้ำหอมสามารถเล่นได้หลายตำแหน่งในแนวรับทั้งปราการหลังตัวกลางและแบ็คซ้าย และทีมคงจะมองเห็นว่าเขาคู่ควรกับบทบาทไหนมากที่สุด แต่เนื่องจากเสือใต้ได้ขายฮุมเมิลส ออกไปอีกทั้งยังมีดาวิด อลาบ้า ที่เล่นในตำแหน่งแบ็คซ้ายอยู่ก่อนแล้ว ทำให้คาดว่าแข้งรายนี้น่าจะได้ยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คมากกว่า

 

1.เรอัล มาดริด (เอเด็น อาซาร์ 100 ล้าน ยูโร)

 

 

ในช่วงระหว่างปี 2000-2013 เรอัล มาดริดได้ทำลายสถิติโลกจากการซื้อผู้เล่นที่แพงที่สุดถึง 5 คนด้วยกัน ประกอบไปด้วยหลุยส์ ฟิโก้, ซีเนอดีน ซีดาน, กาก้า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และแกเร็ธ เบล อย่างไรก็ดีพวกเขาเพิ่งจะหยุดทุ่มงบกับแข้งร้อยล้านไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ทว่าหลังจากจบปี 2018/2019 ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรคนปัจจุบันเตรียมจะผุดไอเดียนี้ขึ้นมาให้โลกตะลึงอีกครั้ง

 

ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ของสเปนอีกทีมหนึ่งอย่างบาร์เซโลน่าก็ลงทุนไปกว่า100 ล้านยูโรในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ราชันชุดขาวเพิ่งจะมีโอกาสได้อวดความรวยอีกครั้งในซัมเมอร์นี้ด้วยการคว้าตัวเอเด็น อาซาร์ เพลย์เมกเกอร์ตัวกลั่นมาจากเชลซีด้วยค่าตัวมโหฬารถึง 100 ล้านยูโร ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่จ่ายไปกับนักเตะที่เหลือสัญญากับสิงห์บลูแค่ปีเดียว ซึ่งมาดริดก็ไม่สนใจอยู่แล้วกับเรื่องแค่นี้ เพราะทีมต้องการความสำเร็จทุกๆปีจึงต้องยอมแลกกับผู้เล่นระดับโลกแม้ว่าค่าตัวจะแสนแพงแค่ไหนก็ตาม

 

ต่อจากนี้คงต้องรอดูกันว่าดีลของอาซาร์จะเป็นการซื้อตัวที่แพงที่สุดในซัมเมอร์นี้หรือยัง เพราะมีข่าวว่าทางมาดริดก็กำลังให้ความสนใจในตัวของคีเลียน เอ็มบัปเป้ศูนย์หน้าตีนระเบิดของปารีส แซงแชร์แมงอยู่ด้วย ว่ากันว่าถ้ามีการย้ายทีมจริง มันจะกลายเป็นสถิติโลกขึ้นมาใหม่ทันที