สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพิ่งตัดสินใจเลื่อนการแข่งขันศึกฟุตบอลไทยลีก ทั้ง 4 ดิวิชั่น T1 -T4 ซึ่งมีผลตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 18 เมษายนนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือไวรัส “โควิด-19” ที่กำลังทวีความรุนแรงในหลายเป็นประเทศทั่วโลก รวมไปถึงประเทศไทย ด้วย
จากการตัดสินใจเลื่อนการแข่งศึก ไทยลีก ครั้งนี้ แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องโปรแกรมการแข่งขันหลังจากนี้ ที่อาจจะถูกจัดให้ลงเล่นกันแบบต่อเนื่องมากขึ้น รวมไปถึงปัญหาใหญ่เกี่ยวกับในส่วนรายได้ของแต่ละสโมสรที่ขาดหายไปในช่วงที่ไม่มีแมตช์การแข่งขัน
นอกจากนี้การที่โปรแกรมการแข่งขันลีกฟุตบอลไทย จำเป็นต้องถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากวิกฤตไวรัสโคโรน่า ยังส่งผลกระทบครั้งใหญ่กับหลายๆสโมสร รวมไปจนถึงในระดับทีมชาติไทย เลยทีเดียว
โปรแกรมเตะถี่ยิบ
แน่นอนว่าผลกระทบแรกจากการประกาศเลื่อนการแข่งขันศึกฟุตบอลลีกของเมืองไทย คงหนีไม่พ้น โปรแกรมการแข่งขันที่จะกลับมาลงเตะกันแบบต่อเนื่อง และติดต่อกันมากกว่าเดิมหลังจากนี้
โดยจากการเลื่อนโปรแกรมการแข่งขันซึ่งมีผลนับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 18 เมษายน จะทำให้ทุกสโมสรในศึก โตโยต้า ไทยลีก พลาดลงสนามถึง 4 เกม และหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ยังไม่สามารถควบคุมได้ตามที่คาดเดาไว้ จำนวนเกมที่ถูกเลื่อนออกไปอาจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามทางฝั่งของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก็ได้ออกมายืนยันว่า ถึงแม้จะมีการเลื่อนโปรแกรมลงสนามซึ่งกินเวลากว่า 1 เดือน แต่การแข่งขันในซีซั่นนี้ยังคงต้องปิดฤดูกาลตามกำหนดเดิม คือวันที่ 24 ตุลาคม เพื่อมีเวลาเตรียมทีมให้กับทีมชาติไทย ก่อนลงเตะในศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 และฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ช่วงปลายนี้ รวมไปถึงเพื่อไม่ให้กระทบเกี่ยวกับเรื่องสัญญาระหว่างตัวนักเตะกับสโมสรด้วย
นั่นหมายความว่าโปรแกรมในศึก ไทยลีก ภายหลังกลับมาจากช่วงเบรคซีซั่นชั่วคราว เราอาจได้เห็นแมตช์การแข่งขันช่วงกลางสัปดาห์เพิ่มมากขึ้น และแต่ละทีมคงต้องลงเล่นกันแบบถี่ยิบ ซึ่งนั่นอาจจะส่งผลกระทบกับแต่ละสโมสรเกี่ยวกับจำนวนเกมที่ต้องลงเล่นต่อเนื่องมากจนเกินไป และน่าจะมีผลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของผู้เล่นพอสมควร
สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด กระทบหนัก
หนึ่งในทีมที่น่าจะได้รับผลกระทบจากการเลื่อนโปรแกรมการแข่งขันใน ไทยลีก ของสมาคมฟุตบอลฯ มากที่สุด คงหนีไม่พ้น สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด แชมป์เก่า ที่มีโปรแกรมต้องลงสนามถึง 5 ถ้วย ในฤดูกาลนี้ ทั้งเกม ไทยลีก, เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก, ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรอาเซียน, โตโยต้า ลีก คัพ และ ช้าง เอฟเอ คัพ ซึ่งลูกทีมของ มาซามิ มากิ ต้องลงเล่นอย่างน้อยถึง 47 แมตช์ ในปีนี้
นั่นหมายความว่ามันคงเป็นงานที่หนักเอาเรื่องแน่นอน หากทัพ “กว่างโซ้งมหาภัย” เจอกับโปรแกรมการแข่งขันในลีก ที่ต้องลงสนามต่อเนื่อง และยังคงต้องเดินทางไปเล่นนอกประเทศทั้งในรายการฟุตบอลสโมสรเอเชีย และสโมสรอาเซียน
เพราะฉะนั้นการเตรียมความพร้อมสำหรับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากพวกเขาต้องการที่จะทำผลงานให้ดีที่สุดในทุกรายการที่ลงแข่งขันซีซั่นนี้ อย่างไรก็ตามอุปสรรคที่คงหลีกเลี่ยงไม่พ้นคือสภาพร่างกายของตัวนักเตะ ซึ่งนี่อาจเป็นปัญหาใหญ่ที่พวกเขาต้องเผชิญ
แฟนบอลหาย
อีกหนึ่งผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ จำนวนแฟนบอลในแต่ละเกมที่อาจจะลงลงแบบน่าใจหาย ซึ่งต้องยอมรับว่าตลอด 2 – 3 ซีซั่นที่ผ่านมา ยอดผู้ชมในสนามเกม ไทยลีก ก็ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เนื่องด้วยกระแสบอลไทย ที่ค่อนข้างซาลงในช่วงหลัง รวมไปถึงปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่งดเดินทางเข้ามาชมเกม
ขณะเดียวกันจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เชื่อว่านี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้แฟนบอลของแต่ละทีมใน ไทยลีก ฤดูกาลนี้ ลดลงกว่าเดิมอีกแน่นอน เนื่องจากผู้คนส่วนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยเฉพาะในสถานที่ซึ่งมีผู้คนรวมตัวกันอยู่เยอะอย่างเช่นสนามฟุตบอล
อย่างไรก็ตามหากทางสมาคมฟุตบอลฯ รวมไปถึงภาครัฐ สามารถที่จะให้ความมั่นใจแก่ประชาชน ควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อได้เลยว่าแฟนบอลไทย จะพากันกลับเข้ามาชมเกมในสนามกันแบบคึกคึกเหมือนที่ผ่านมาแน่นอน
สโมสรขาดรายได้
นี่คงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะหลังมีการประกาศเลื่อนการแข่งขันซึ่งกินเวลากว่า 1 เดือน แน่นอนว่ามันส่งผลให้แต่ละสโมสรขาดรายได้แบบเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนั่นแม้จะไม่มีการแข่งขันในช่วงเวลาดังกล่าว ทุกทีมก็ยังคงต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายของสโมสรตามเดิม โดยเฉพาะส่วนของค่าเหนื่อยนักเตะ และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ
ในขณะที่แต่ละสโมสรยังคงต้องแบกรับภาระรายจ่ายของตัวเองต่อไป ทว่ารายรับของพวกเขากลับน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของค่าตั๋วที่ขาดหายไป หรือกำไรจากการขายสินค้าต่างๆ
เพราะฉะนั้นหากสถานกาณ์ของไวรัสโควิด-19 ยังไม่ดีขึ้นในเร็วๆนี้ นั่นอาจเป็นปัญหาใหญ่ของแต่ละสโมสรเกี่ยวกับในเรื่องของค่าใช้จ่าย และรายรับที่ไม่สมดุลกันก็เป็นได้
ทีมชาติ เจอปัญหาแน่
ส่วนปัญหาสุดท้ายซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากที่สุด นั่นคือการเลื่อนโปรแกรมการแข่งขันครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบรุนแรงกับทีมชาติไทย ที่มีโปรแกรมสำคัญต้องลงเล่นใน 2 รายการใหญ่ช่วงปลายปี ทั้งศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก และ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020
ถึงแม้ว่าทางสมาคมฟุตบอลฯ ยังคงตั้งเป้าให้การแข่งขันฟุตบอลลีกไทย ในซีซั่นนี้ จบลงตามกำหนดเดิมในวันที่ 24 ตุลาคม เพื่อมีเวลาให้กับทัพ “ช้างศึก” และ อากิระ นิชิโนะ เตรียมทีมสำหรับลงเล่นใน 2 ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยโปรแกรมสโมสรที่ต้องลงเตะกันแบบต่อเนื่องมากขึ้นในฤดูกาลนี้ อาจส่งผลกระทบใหญ่เกี่ยวกับเรื่องสภาพร่างกายของนักเตะที่จะอาจจะถูกเฮดโค้ชชาวญี่ปุ่น เรียกติดทีม
โดยในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ศึก ไทยลีก กำลังจะปิดฉากลง ทีมชาติไทย มีโปรแกรมลงเล่นในเกมบอลโลก รอบคัดเลือก 1 นัด พบกับ อินโดนีเซีย หลังจากนั้นจะต้องลงเล่นอีก 2 เกม ในเดือนพฤศจิกายน พบกับ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ มาเลเซีย ถัดจากนั้นอีกไม่กี่วันลูกทีมของ นิชิโนะ ต้องลงสนามในถ้วย เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ต่อเนื่องทันที ซึ่งดูแล้วหากสภาพร่างกายของบรรดาขุนพล “ช้างศึก” ที่ต้องกำศึกหนักกับสโมสรตลอดฤดูกาลนี้ไม่ดีพอ อาจส่งผลกระทบกับผลงานของทั้ง 2 รายการที่ ทีมชาติไทย ต้องลงเล่นแน่นอน