เสือเหลืองวันนั้นถึงหงส์วันนี้! ถอดบทเรียนจากปีสุดท้ายของคล็อปป์กับดอร์ทมุนด์

 

สถานการณ์ฟอร์มตกของ ลิเวอร์พูลในปัจจุบัน มีปัจจัยหลายๆอย่างที่คล้ายคลึงกันกับในปีสุดท้ายที่เจ้าตัวคุมทัพ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทั้งอาการบาดเจ็บของตัวนักเตะ การเสริมทีมที่ไม่ตอบโจทย์ และปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นโดยรวมของทีม

 

วันนี้ UFAARENA จะมาถอดบทเรียนจากปีสุดท้ายของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กับเสือเหลืองถึงวันนี้ของหงส์แดง ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างอย่างไรบ้าง

 

อาการบาดเจ็บที่ตามรบกวน

หนึ่งสาเหตุที่เห็นกันได้ชัดที่สุดของ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในฤดูกาลนี้ นั่นคืออาการบาดเจ็บที่เริ่มจาก เวอร์จิล ฟานไดจ์ค กองหลังตัวเก่งที่บาดเจ็บตั้งแต่เกมนัดที่ 5 ของฤดูกาลจากการไปปะทะกับ จอร์แดน พิคฟอร์ด ซึ่งในช่วงแรกมันก็ไม่ได้ส่งผลเท่าไรนัก แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็เพิ่งเสีย โจ โกเมซ , โจเอล มาติป และ ฟาบินโญ่ จนทีมต้องจับเอากองกลางอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มายืนเป็นเซ็นเตอร์ พร้อมดันดาวรุ่งขึ้นมายืนสลับกันไปแแต่ก็ยังถือว่ารับมือได้ดี

 

ในขณะที่เมื่อย้อนไปในช่วงที่ คล็อปป์ คุมทัพเสือเหลืองช่วงฤดูกาลสุดท้ายเขาเองก็เจอกับปัญหานักเตะเจ็บเช่นเดียวกัน ซึ่งจากสถิติระบุว่าในปีสุดท้ายของเาขนั้นมีนักเตะเจ็บรวมทั้งหมด 116 ครั้ง เมื่อเทียบกับทีมที่เล่นเพรซซิ่งเหมือนกันในเวลานั้นอย่าง เลเวอร์คูเซ่น ก็พบว่านักเตะของพวกเขาพลาดการลงสนามไปแค่ 799 วน เมื่อเทียบกับ ดอร์ทมุนด์ ที่พลาดกันไปมากถึง 1626 วันเลยทีเดียว

 

หากเทียบกันแล้วปัญหาอาการบาดเจ็บของ ลิเวอร์พูล และ ดอร์ทมุนด์ มีความคล้าย แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว พวกเขามีนักเตะในตำแหน่งสำคัญเจ็บเหมือนกัน แต่ทางฝั่งหงส์แดงนอกจากจะเป็นนักเตะสำคัญแล้ว ยังเป็นการที่นักเตะในตำแหน่งเดียวกันพากันเจ็บไปหมดด้วยทำให้ต้องมีการโรเตชั่นที่หนักกว่าสมัย คล็อปป์คุม เสือเหลืองไม่น้อย

 

รับมือกับการโรเตชั่นนักเตะได้ไม่ดีพอ

การโรเตชั่นนักเตะเป็นอีกเรื่องที่มาควบคู่กันเวลามีนักเตะเจ็บ ซึ่งในสมัยที่ คล็อปป์ คุม ดอร์ทมุนด์ ต้องบอกว่าเขาทำได้ไม่ดีพอจะเห็นได้ว่าแผนการเล่นที่เจ้าตัวใช้ประจำสมัยนั้นคือ 4-2-3-1 แต่ช่วงที่ฟอร์มตกลงไป เขาเลือกใช้ทั้งแผน 4-4-2 , 4-3-3 และ 4-4-2 แบบไดม่อน เรียกว่านอกจากจะโรเตชั่นนักเตะแล้ว ยังเปล่ียนแผนการเล่นไม่ซ้ำ จนเป็นเหตุให้ทีมฟอร์มรูดแพ้ 5 นัดติด และไม่ชนะใคร 7 นัดรวด สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมาใช้ 4-2-3-1 เช่นเดิมจนฟอร์มกลับมาคงเส้นคงวา

 

ส่วนกับ ลิเวอร์พูล เจ้าตัวแทบไม่เปลี่ยนแผนและยึดใช้แผน 4-3-3 เกือบตลอด แต่บางนัดเขาก็เปลี่ยนไปใช้ 4-2-3-1 ที่ตัวเองเคยใช้ ซึ่ก็ได้ผลดีเลยทีเดียวจาก 3 เกม ชนะ 2 เสมอ 1 เห็นได้ชัดว่าคล็อปป์เรียนรู้จากสมัยที่คุมเสือเหลือง ที่แม้จะต้องโรเตชั่นนักเตะ แต่แผนการเล่นก็ถือเป็นหัวใจสำคัญ แต่ข้อเสียก็มีให้เห็น เพราะเมื่อจับนักเตะที่เล่นคนละตำแหน่งมาเล่นในตำแหน่งที่ไม่คุ้นเคย ก็จะทำให้เกิดปัญา รวมถึงทำให้ศักยภาพของนักเตะเสียเปล่าไปโดยปริยาย

 

ฟื้นจากช่วงฟอร์มตกช้า

นี้คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้น และกำลังเกิดขึ้นกับคล็อปป์ แน่นอนว่าฟุตบอลไม่ว่าทีมไหน กับใครก็มีช่วงฟอร์มตกเป็นธรรมดา ยิ่งด้วยสถานการณ์ที่สภาพทีมไม่พร้อมด้วยแล้ว สมัยคุม ดอร์ทมุนด์ คล็อปป์ ทำพลาดไม่ชนะใครมา 7 เกมติดในลีก กว่าจะกลับมาชนะได้อีกครั้ง แถมชนะไปแค่นัดเดียวก็กลับไปเสมอ และแพ้อีก เรียกว่าฟอร์มไม่คงที่สุดๆจนส่งให้ทีมไปกองอยู่บ๊วยของตาราง กว่าพวกเขาจะกู้ฟอร์มกลับมาได้ ก็ต้องรอถึงนัดที่ 20 เป็นต้นไป และสามารถกลับมาจบที่อันดับ 7 ของตารางได้ แม้จะไม่ได้ดีมาก แต่ก็น่าจะดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้แล้วในเวลานั้น

 

ตัดภาพมาที่ลิเวอร์พูลในปัจจุบันพวกเขาแพ้มา 4 เกมติดแล้ว นับเป็นสถิติอันย่ำแย่ที่สุดในรอบ 98 ปี หรือตั้งแต่ปี 1928 ที่ต้องมาแพ้ในบ้านตัวเองถึง 4 เกมติดทำให้ฟอร์มร่วงลงมาเรื่อยๆจากที่ตอนแรกพวกเกาะหัวตาราง ครองจ่าฝูงไว้ได้แต่ตอนนี้ต้องมาลุ้นท็อปโฟร์แทน จากที่จะได้ลุ้นแชมป์ ซึ่งต้องรอลุ้นกันอีกทีว่าพวกเขาจะสามารถฟื้นจากช่วงฟอร์มตกได้เเร็วแค่ไหน

 

การเสริมทีมไม่ตอบโจทย์

Ciro Immobile Wishes He Could Have Shown Jurgen Klopp the 'Real' Him at  Borussia Dortmund | 90min

ในปีสุดท้ายที่ คล็อปป์ คุมเสือเหลืองเขาต้องเผชิญกับการเสียสตาร์ดัอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ไปให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ในเวลานั้นพวกเขาเลือกที่จะเสริมทัพเข้ามาหลายรายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ชิโร่ อิมโมบิลเล่ , ชินจิ คากาวะ และ อาเดรียน รามอส ที่จะเข้ามาเป็นความหวังในแนวรุก แต่ก็พังทุกราย

 

ในรายของ อิมโมบิลเล่ เจ้าตัวเป็นนักเตะที่ดีแต่มีปัญหาเรื่องการปรับตัว แถมยังไม่เข้ากับระบบทีมอีก ส่วนในรายของ อาเดรียน รามอส แม้ คล็อปป์จะพยายามเข็นลง แต่เขาก็ทำไปได้แค่ 6 ประตู จากการลงสนาม 29 นัดรวมทุกรายการเท่านั้น สุดท้ายความหวังการทำประตูก็ตกไปอยู่กับ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ที่ปีนั้นกดไป 16 ประตูเป็นดาวซัลโวของทีม รวมถึง แอสซิสต์อีก 7 ครั้งก็มากสุดในทีมอีกเช่นกัน 

 

สำหรับ ลิเวอร์พูล ปีนี้ก็มีการเสริมทัพที่น่าสนใจกับการดึงตัว ติอาโก้ อัลคันทาร่า จากบาเยิร์น มิวนิค มาร่วมทีม แต่ก็ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ รวมถึงยังปรับตัวเข้ากับระบบทีมไม่ได้อีก นอกจากนี้ยังมีการปล่อยตัว เดยัน ลอฟเรน ที่เป็นกองหลังออกจากทีม โดยไม่เสริมใครมาสักรายเลยในช่วงซัมเมอร์ จนทีมเจอกับปัญหาหนัก แม้จะมาเสริม โอซาน คาบัค และ เบน เดวิส ในตลาดเดือนมกราคม แต่มันก็ไม่ทันการณ์แล้ว เพราะนักเตะก็ยังปรับตัวให้เข้ากับทีมไม่ทันจนส่งผลกับฟอร์มที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันนี้

 

เกมรุกเกมรับมีปัญหาพอกัน

ปีสุดท้ายของคล็อปป์กับดอร์ทมุนด์ แม้จะมีปัญหามากมายแต่ถ้ามองกันที่สถิติพวกเขาก็ไม่ได้จัดว่าแย่ เรื่องเกมรับพวกเขายังคงเป็นทีมที่ทำได้ค่อนข้างดีด้วยซ้ำ เสียไป 42 ประตู เก็บได้ 10 คลีนชีท คิดเป็นการเสียประตูแค่ 1.24 ครั้งต่อเกมเท่านั้น ส่วนในเกมรุกก็ทำได้แค่พอใช้เช่เดียวกันกับจำนวน 47 ประตู ที่ยิงได้คิดเป็น 1.38 ประตู ต่อเกม แต่ถ้ามองในเรื่องของการเปลี่ยนโอกาสยิงตรงกรอบเป็นประตู พวกเขาทำได้แค่ 0.23 ครั้งต่อการยิงตรงกรอบเท่านั้น

 

ส่วน ลิเวอร์พูล แน่นอนช่วงแรกพวกเขาประสบปัญหาในเรื่องของเกมรับ แต่หลังๆมานี้ผลกระทบมันเริ่มแตกออกมาเป็นลูกโซ่ลุกลามมาถึงเกมรุกด้วย จะเห็นได้ว่าเกมรับพวกเขาเสียไปถึง 34 ประตู คิดเป็นการเสียประตู 1.36 ครั้งต่อเกมซึ่งพวกเขามักจะเสียประตูในช่วงครึ่งหลังมากถึง 19 ประตู ในขณะเกมรุกถ้ามองผิวเผินก็เรียกว่าดี ยิงได้ 45 ประตู คิดเป็น 1.80 ประตูต่อเกม แต่เปอร์เซ็นการเปลี่ยนลูกยิงของทีมให้เป็นประตู พวกเขาทำได้แย่สุดในลีกที่ 1.1 %เท่านั้น

 

จะเห็นได้ว่าเมื่อมองสถิติทั้งเกมรุก เกมรับ ไม่ได้จัดว่าแย่มากมายนัก แต่เมื่อเกมรับมีปัญหา มันก็เริ่มส่งผลมาถึงเกมรุก แม้ดาวยิงของพวกเขาอย่าง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ จะสามารถครองดาวซัลโวลีกได้ที่ 17 ประตู แต่ภาพรวมของทีมนั้นมันยังไม่ดีเลยนั่นเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องดึงความสมดุล และฟอร์มของทีมกลับมาให้ได้

 

เหล่าสตาร์ของทีมพากันฟอร์มตก

ปีสุดท้ายของคล็อปป์กับเสือเหลือง นอกจากปัญหาต่างๆที่รุมเร้าแล้ว บรรดานักเตะที่เป็นตัวหลักก็ดันมาพากันฟอร์มตกเสียอีก ชินจิ คากาวะ ที่เคยสร้างสรค์ผลงานไว้กับทีมได้อย่างยอดเยี่ยม แต่กลับมารอบนี้เขาทำไม่ได้เหมือนเดิม รวมถึงพวก อิลคาย กุนโดกัน และ มาริโอ เกิทเซ่ เองก็เค้นฟอร์มไม่ออก ยังไม่รวมมาร์โก้ รอยส์ท่ีมีอาการบาดเจ็บรังควาญตลอดปี และบรรดานักเตะใหม่ๆที่ย้ายเข้ามาก็คาดหวังไม่ได้

 

ในขณะที่ ลิเวอร์พูลในปัจจุบันนอกจากบรรดานักเตะที่เจ็บไป แข้งตัวหลักที่เหลืออยู่อย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาโนลด์ ที่มีจุดอ่อนที่เกมรับ และจุดเด่นที่เกมรุก แต่ปีนี้จากที่เคยแอสซิสต์กระจุยกระจายให้เพื่อนจากลูกครอสที่มีความแม่นยำ แต่ในปีนี้เขาทำแอสซิสต์ไปได้แค่ 3 ครั้งในลีกเท่านั้น ในขณะที่แบ๊คอีกฝั่งอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เองก็เงียบเหงาไม่ต่างกันแต่ก็ถือว่ายังดีกว่าจากการทำไป 5 แอสซิสต์ในลีก

 

ส่วนเกมรุก ดิโอโก้ โจต้า ที่ตั้งใจดึงตัวมาเพื่เป็นตัวเลือกก็ดันเจ็บไปอีก ทำให้ยังคงต้องใช้สามประสานชุดเดิมอย่าง ซาดิโอ มาเน่ , โรบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ แม้ว่าตัวสตาร์ชาวอียิปต์จะยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่เมื่อเพื่อนร่วมทีมในเกมรุกอีกสองคนไม่สามารถสร้างผลงานได้สม่ำเสมอ อย่าง มาเน่ ก็ยิงได้แค่ 7 ประตู จาก 22นัดในลีก ส่วน ฟีร์มิโน่ ก็ไม่ได้มีจุดเด่นเรื่องการทำประตูอยู่แล้ว ทำให้ภาระเกมรุกทั้งหมดก็มาตกอยู่กเขา ทำให้คู่แข่งดักทางเกมรุกของพวกเขาได้ไม่ยาก