เส้นขนานที่ต่างกัน : ลิโอเนล เมสซี่ กับชีวิตที่น่าผิดหวังในทีมฟ้าขาว

 

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ลิโอเนล เมสซี่ คือนักเตะเบอร์ต้นๆของโลกเคียงข้างกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงจากยูเวนตุสในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมีการเปรียบเทียบจากแฟนบอลทั้ง 2 ฝั่งอยู่เสมอว่าใครยอดเยี่ยมกว่ากัน

 

ในระดับสโมสร เมสซี่พาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์มาแล้วในทุกรายการที่ลงเล่น ทั้งแชมป์ลาลีก้า สเปน, แชมป์โคปา เดล เรย์, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือ แชมป์สโมสรโลก ไม่ต่างจากที่กัปตันทีมชาวโปรตุเกสทำได้ และทำลายสถิติต่างๆมากมายในวงการลูกหนัง จนเรียกว่าเป็นนักเตะระดับตำนานที่ยังหายใจอยู่ก็คงจะได้

 

แต่สิ่งที่เป็นตราบาปที่ติดอยู่ในใจของเมสซี่มากที่สุดคือการที่เขาไม่สามารถพาอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์เมเจอร์ได้เลยนับตั้งแต่ประเดิมทีมชาติครั้งแรกในปี 2005 และมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำผลงานได้ย่ำแย่ไม่เหมือนในระดับสโมสร ซึ่งแตกต่างจากโรนัลโด้ที่ประสบความสำเร็จในทีมชาติโปรตุเกสคว้าแชมป์ยูโรได้ในปี 2012 และแชมป์ยูฟ่า เนชั่นส์ลีกในปีนี้  

 

และในศึกโคปา อเมริกา ปี 2019 ที่บราซิล น่าจะเป็นรายการสุดท้ายที่เมสซี่รับใช้ชาติบ้านเกิด ซึ่งมีแววว่าจะต้องผิดหวังไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ หลังเก็บได้แค่แต้มเดียวเท่านั้นใน 2 นัดแรก

 

ทาง UFA ARENA จึงขอพาทุกท่านไปย้อนดูเส้นทางค้าแข้งของเมสซี่ในทีมชาติ ว่าเขาจะต้องพบเจอกับความผิดหวังมามากยมายแค่ไหนตลอดเวลา 15 ปีที่ผ่านมา

 

ว่าที่ดาวดวงใหม่

 

 

ด้วยการที่อยู่ในสเปนตั้งแต่อายุ 13 ขวบ ทำให้ลิโอเนล เมสซี่ สามารถเลือกเล่นให้ทีมกระทิงดุได้ แต่ทว่าเขาก็เลือกเล่นให้กับชาติบ้านเกิดอย่างอาร์เจนติน่าแบบไม่ลังเลใจและได้โชว์ฟอร์มเด่นตั้งแต่ตอนที่เล่นทีมฟ้าขาวชุดอายุต่ำกว่า 20 ปี

 

อาการขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตทำให้ดาวเตะร่างเล็กขาดพละกำลังเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมทีมในรุ่นเดียวกัน แต่เขาก็มุ่งมั่นพัฒนาฝีเท้าและร่างกายจนติดชาติอาร์เจนติน่าชุดเล็กเพื่อสู้ศึกฟุตบอลโลกรุ่น U-20 ซึ่งก็คือฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลก เมื่อปี 2005

 

เมสซี่เริ่มต้นทัวร์นาเม้นต์ได้ดีระดับนึงและพาทีมฟ้าขาวผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มมาได้ แต่ทว่าฟอร์มการเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ต่างหากที่ทำให้เขาฉายแววว่าที่นักเตะระดับโลก ช่วยให้บ้านเกิดเอาชนะตัวเต็งอย่างสเปน หรือ บราซิล ก่อนจะเอาชนะไนจีเรียได้ในนัดชิงชนะเลิศ 2-1 คว้าแชมป์รายการนี้ในสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ

 

นอกจากนี้ ลูกหม้อจากบาร์เซโลน่ายังคว้ารางวัลดาวซัลโว (6 ประตู) และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมในทัวร์นาเม้นต์นั้นมาครองด้วย

 

 

ประเดิมฝันร้ายในนัดแรก

 

 

หลังจากเป็นฮีโร่ของทัพฟ้าขาวชุดเล็ก ทำให้เมสซี่ได้โอกาสติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปีเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 18 ปี ซึ่งมี โฮเซ เปเกร์มัน เป็นกุนซืออยู่ ณ ตอนนั้น โดยเขาได้ประเดิมสนามเป็นนัดแรกในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับฮังการี

 

เมสซี่ถูกเปลี่ยนตัวลงไปในนาทีที่ 63 แทนที่ ลิซานโดร โลเปซ และหลังจากที่สัมผัสฟลอร์หญ้าได้แค่ 2 นาที เขาเหวี่ยงแขนใส่ไปโดน วิลมอส วานช์ซัค แบ็คของฮังการีที่พยายามฉุดกระชากลากดึงอย่างชัดเจน แต่ทว่ากรรมการในเกมนั้นมองว่า ดาวรุ่งชาวอาร์เจนไตน์เจตนาทำร้ายคู่แข่งทำให้เขาได้รับใบแดงไล่ออกจากสนามทันที มีรายงานหลังเกมนั้นว่า เมสซี่ผิดหวังมากๆถึงขั้นร้องไห้ในห้องแต่งตัวเลย

 

อย่างไรก็ตาม เมสซี่ก็กลายเป็นขาประจำในทีมชาติอาร์เจนติน่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ช่วยให้ฟ้าขาวผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่เยอรมันในปี 2006 ได้ และกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของทีมชาติที่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลก น่าเสียดายที่เขาไม่มีส่วนร่วมเลยในเกมที่พ่ายจุดโทษแก่เจ้าภาพในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 

 

อกหักครั้งที่ 1

 

 

ปี 2007 อาร์เจนติน่าคือหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์โคปา อเมริกา ซึ่งมีคุมกำลังที่แข็งแกร่งทุกตำแหน่งตั้งแต่กองหลังแดนหน้า โดยมี ฮวน โรมัน ริเกลเม่ เป็นจอมทัพของทีม แต่ในขณะเดียวกันเมสซี่ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจขึ้นเรื่อยๆในรายการนั้น

 

ดาวรุ่งจากบาร์เซโลน่ายิงประตูได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับเปรู และรอบตัดเชือกกับเม็กซิโกได้ และพบกับคู่แค้นตลอดกาลในละตินอเมริกาอย่างบราซิลในรอบชิงชนะเลิศ แต่สุดท้ายเมสซี่ก็ต้องผิดหวังกับนัดชิงดำ เมื่อพ่ายกับทัพเซเลเซาชุดที่แทบไม่มีสตาร์ดังไปแบบหมดสภาพ 3-0 แต่เขาก็ได้รางวัลปลอบใจเป็นแข้งดาวรุ่งยอดเยี่ยมในรายการนั้นไป

 

แต่ถ้าเลือกได้จริงๆ เขาก็อยากชูถ้วยรางวัลกับเพื่อนร่วมทีมมากกว่ารางวัลส่วนตัวแบบนี้ และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เมสซี่ต้องผิดหวังในระดับทีมชาติอย่างแน่นอน

 

 

ฝืดสนิทในทีมชาติ

 

 

ถัดมาอีกปี เมสซี่ก็พอจะล้มล้างความผิดหวังจากนัดชิงบอลทวีปมาได้บ้าง หลังพาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ที่ ปักกิ่ง ประเทศจีน ร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง เซร์กิโอ้ อเกวโร่, อังเคล ดิ มาเรีย หรือ เอเวร์ บาเนก้า

 

หลังจากนั้นเมสซี่ก็ก้าวขึ้นไปเป็นนักเตะระดับโลกอย่างเต็มตัว เมื่อพาบาร์เซโลน่าคว้าทริปเปิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พร้อมทำสถิติต่างๆมากมาย จนใครๆหลายคนคิดว่าแข้งหนุ่มคนนี้จะต้องพาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้อย่างแน่นอน หลังได้ชูถ้วยนี้ครั้งสุดท้ายในปี 1986 ยุคของ ‘เสือเตี้ย’ ดีเอโก้ มาราโดน่า รุ่นพี่ระดับตำนานในทีมชาติ

 

แต่ความคาดหวังในหลายๆครั้งมันก็ไม่กลายเป็นเรื่องจริงเสมอไป เมสซี่ทำผลงานในทีมชาติอย่างกับคนละคนในบาร์เซโลน่าที่ไม่สามารถฝากความหวังไว้เลย จนเกือบอดไปเล่นฟุตบอลโลกปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ ด้วยซ้ำ และถึงแม้จะผ่านเข้าไปได้ เมสซี่และพ้องเพื่อนก็ต้องตกรอบในรอบเดิมด้วยน้ำมือของเยอรมันทีมเดิมเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน

 

 

ต่อมาในศึกโคปา อเมริกา ปี 2011 อาร์เจนติน่ากลับทำผลงานได้ไม่สมกับตำแหน่งจ้าภาพ ตกรอบไปตั้งแต่ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเมสซี่กลับทำประตูในรายการนั้นไม่ได้เลย ทั้งๆที่ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้บาร์ซ่าไปถึง 53 ประตูในทุกรายการ  

 

เอาจริงๆ เมสซี่ยิงในทีมชาติไม่ได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2009 แล้วและก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น จนกระทั่งการเข้ามาของ อเลฮานโดร ซาเบลล่า ซึ่งจะทำให้เขาโชว์ฟอร์มในทีมชาติได้ดีที่สุดในเวลาต่อมา

 

 

ผิดหวังซ้ำๆในช่วงที่ปังที่สุด

 

 

นับตั้งแต่นั้น เมสซี่เริ่มกลับมาทำผลงานในทีมชาติได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และกลับมายิงประตูครั้งแรกได้ในรอบ 2 ปีครึ่ง แน่นอนว่าคงไม่ดีเทียบเท่าตอนที่เขาล่นให้สโมสร แต่มันก็เป็นสัญญานที่ดีต่อแฟนบอลอาร์เจนติน่าไม่น้อย

 

ดาวเตะจากโรซาริโอรับตำแหน่งกัปตันทีมฟ้าขาวแบบเต็มตัวก็ในวัย 24 ปี และสามารถทำแฮตทริกแรกในทีมชาติได้เป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี 2012 ต่อจากนั้น เมสซี่ก็ช่วยให้บ้านเกิดผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่บราซิลได้แบบสบายๆ ไม่ต้องเข้าไปแบบทุลักทุเลเหมือนครั้งก่อน

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงก่อนฟุตบอลโลกไม่กี่สัปดาห์ เมสซี่ถูกตั้งคำถามพอสมควร เนื่องจากพาทีมอาซูลกราน่าจบฤดูกาลแบบมือเปล่า แถมยังได้รับบาดเจ็บในช่วงท้ายๆของซีซั่นนั้นอีก อย่างไรตาม ศึกฟุตบอลโลกในปี 2014 คือรายการที่เมสซี่ทำผลงานในทีมชาติได้ที่สุด โดยพาอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์กลุ่ม และยิงประตูสำคัญมากมาย ซึ่งจะเรียกว่าแบกทีมอยู่คนเดียวก็คงไม่ผิดนัก

 

 

ในที่สุดทัพฟ้าขาวก็เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ โดยพบกับเยอรมัน ทีมที่เขี่ยบ้านเกิดของเมสซี่ตกรอบในฟุตบอลโลกเมื่อ 2 ครั้งก่อน ซึ่งในนัดนั้นเขาก็พยายามสู้เพื่อทีมชาติเต็มที่ แต่ก็ต้องอกหักเป็นครั้งที่ 2 ในเกมทีมชาติ เมื่อ มาริโอ เกิตเซ่ ตัวสำรองทีเด็ดของอินทรีเหล็กลงมาซัดประตูชัยให้เยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกไปครอง ส่วนเขาก็ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมเป็นการปลอบใจ   

 

เมสซี่ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นในทีมชาติได้ดีอย่างต่อเนื่องในศึกโคปา อเมริกาปี 2015 ที่ชิลี และกลายเป็นตัวเต็งเบอร์หนึ่งที่คว้าแชมป์ไปครอง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ดาวเตะร่างเล็กต้องพบกับความผิดหวัง เมื่ออาร์เจนติน่าดวลจุดโทษพ่ายเจ้าภาพในนัดชิง 4-1 และปฏิเสธไม่รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมที่ทัวร์นาเม้นต์มอบให้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาถูกสื่อและแฟนบอลในบ้านเกิดวิพากษ์วิจารณ์กันแบบไม่ไว้หน้า

 

 

ลาทีมชาติ(ชั่วคราว)

 

 

ถัดจากนั้นได้แค่ปีเดียว ศึกโคปา อเมริกาก็ได้จัดขึ้นอีกครั้ง เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของสมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ และเป็นครั้งแรกในรายการนี้ที่มีเจ้าภาพอยู่นอกทวีปละตินอเมริกา โดยจัดที่สหรัฐอเมริกาในปี 2016

 

แม้เมสซี่จะได้รับบาดเจ็บช่วงอุ่นเครื่องก่อนทัวร์นาเม้นต์ แต่เขาก็หายลงแข่งในศึกครั้งนั้นอยู่ และทำผลงานได้ดีเหมือนเดิมจนพาอาร์เจนติน่าเข้ารอบชิงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งคู่แข่งในนัดชิงก็ไม่ใครที่ไหน ชิลี แชมป์เก่าที่เอาชนะพวกเขาไปได้เมื่อปีก่อนนี่เอง

 

แต่ทว่าในท้ายที่สุดตอนจบของศึกครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งที่แล้วนัก เมื่ออาร์เจนติน่าพ่ายแก่ชิลีด้วยการยิงจุดโทษแบบเดิม โดยเมสซี่คือหนึ่งในนักเตะที่ยิงจุดโทษไม่เข้าด้วย และหลังเกมวันนั้นเมสซี่ก็ประกาศเลิกเล่นให้ทีมชาติทันที

 

ผมพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ทั้ง 4 นัดในรอบชิง ผมต้องการคว้าแชมป์กับทีมชาติมากกว่าใครๆ แต่โชคไม่ดีที่สิ่งเหล่านั้นมันไม่เกิดขึ้น ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกคน สำหรับผม และก็ทุกๆคนที่ต้องการแบบนี้ ผมกับทีมชาติได้จบลงแล้ว” เมสซี่กล่าวหลังเกมนั้นวันที่ 27 มิถุนายน 2016

 

 

แม้จะมีแฟนบอลหลายคนเคยวิพากษ์วิจารณ์เมสซี่ในทางเสียๆหายๆ แต่เมื่อพวกเขารู้ข่าวว่าแข้งเบอร์หนึ่งในประเทศหันหลังให้ทีมชาติก็อดใจหายไม่ได้ จนเกิดแคมเปญเรียกร้องให้เมสซี่กลับมาเล่นให้อาร์เจนติน่าอีกครั้ง จนกระทั่งในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน แข้งเบอร์หนึ่งจากบาร์เซโลน่าก็ยอมกลืนน้ำลายกลับมาเล่นให้ทัพฟ้าขาวอีกครั้ง

 

แต่ต่อให้เมสซี่เก่งกาจแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถแบกทีมได้ด้วยตัวคนเดียว ในฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซีย อาร์เจนติน่าทำผลงานได้น่าผิดหวังมากๆ แม้จะผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ไปได้ แต่ก็ต้านความแข็งแกร่งของฝรั่งเศส แชมป์ในปีนั้นไม่ได้ พ่ายไป 4-3 และหลังจากทัวร์นาเม้นต์ เราก็ไม่เห็นเมสซี่กลับมาเล่นให้ทีมชาติอีกเลยในปี 2018

 

 

โอกาสสุดท้าย

 

 

สื่อหลายเจ้าในอาร์เจนติน่าคาดว่าเมสซี่อาจจะลาทีมชาติไปแล้วก็ได้ เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จและผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในเดือนมีนาคมปี 2019 แฟนบอลก็เห็นเขากลับมาอยู่ในทีมฟ้าขาวอีกครั้ง ในช่วงพักเบรกทีมชาติเกือบ 2 สัปดาห์

 

และในเดือนพฤษภาคม เมสซี่ก็มีชื่อติดอยู่ 23 ขุนพลของ ลิโอเนล สคาโลนี่ ในทีมอาร์เจนติน่าชุดสู้ศึกโคปา อเมริกา ปีนี้ที่ประเทศบราซิล ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะคว้าแชมป์ในนามทีมชาติซักครั้งในชีวิตค้าแข้ง

 

แต่โอกาสนั้นก็ค่อยหายไปเรื่อยๆตั้งแต่ยังแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มไม่เสร็จสิ้น หลังพ่ายแก่โคลอมเบียในนัดแรก 2-0 จากนั้นก็เกือบพ่ายในนัดที่เสมอกับปารากวัย 1-1  ซึ่งตัวเมสซี่ก็ยังผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่นักและถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ต่างจากเดิม

 

เกมสุดท้ายในวันอาทิตย์นี้ที่พบกับกาตาร์คือเกมชี้ชะตาของอาร์เจนติน่าว่าพวกเขาจะได้โอกาสอยู่หรือเก็บกระเป๋ากลับบ้านเกิดไป และถ้าหากพวกเขาทำได้สำเร็จ โอกาสที่เมสซี่จะคว้าแชมป์แรกในนามทีมชาติก็ยังพอมีอยู่บ้าง แม้จะไม่มากก็ตาม เมื่อเทียบกับตัวเต็งอย่างบราซิล, อุรุกวัย หรือ ชิลี

 

แต่ถ้าไม่ เราคงได้เห็นเมสซี่ประกาศลาทีมชาติอีกเป็นครั้งที่ 2 และไม่มีทางที่จะเห็นเขากลืนน้ำลายกลับมาเล่นให้ทีมชาติเป็นครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน