แก้ยังไงก็ไม่หาย : การเหยียดผิวที่เคยลดลงในวงการลูกหนังอิตาลี

 

การเหยียดผิวในฟุตบอลอิตาลีนั้นเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานและไม่มีท่าว่าจะหยุดหรือลดลงในเกมลูกหนังยุคปัจจุบันแต่อย่างใด

 

มาริโอ้ บาโลเตลลี่ คือรายล่าสุดที่โดนแฟนบอลเหยียดผิวในเกมที่ เบรสซ่า พ่ายต่อ ลาซิโอ 2-1 พร้อมกับประนามการกระทำของแฟนบอลอินทรีฟ้าขาวที่ทำเรื่องน่าอายเช่นนี้ ผ่านทางอินสตราแกรมหลังเกม

 

แถมก่อนหน้านี้ในปีก่อน Corriere dello Sport หนึ่งในสื่อดังแดนมักกะโรนีได้พาดหัวในช่วงปลายเดือนธันวาคมว่า ‘คุณหาว่าใครเหยียดผิว’ หลังจากสัปดาห์ก่อน พวกเขาพาดหัวว่า “Black Friday” โดยมีรูปของ โรเมลู ลูกากู กับ คริส สมอลลิ่ง ก่อนเกมบิ๊กแมตช์ระหว่าง อินเตอร์ พบ โรม่า 

 

มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ในการใช้เชื้อชาติของนักเตะมาพาดหัวข่าว แต่นี่กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งวัฒนธรรมที่ผิดแปลกของชาวอิตาเลี่ยนที่อยู่ในสื่อกระแสหลักของประเทศ และยังคงอยู่ให้เห็นอยู่ร่ำไป

 

แม้ว่า ทัศนคติเหล่านี้จะไม่ได้สะท้อนความคิดของคนในประเทศทั้งหมด แต่ก็เป็นปัญหาที่คุณสามารถเห็นได้ทั้งในสนามแข่งขัน, บนท้องถนน, บนสื่อ และ โซเชียล มีเดีย ซึ่งไม่ใช่ทุกคนในอิตาลีจะเข้าใจว่าการเหยียดผิวมีการกระทำได้หลากหลายรูปแบบ 

 

เพราะฉะนั้น UFA ARENA จะพาไปเจาะลึกเกี่ยวกับประเด็นการเหยียดผิวในแดนรองเท้าบุ้ต พร้อมกับวิเคราะห์ว่าทำไมเรื่องเหล่านี้ถึงไม่หมดไปจากประเทศที่สวยงามแบบนี้ซักที

 

 

สื่อเลี่ยนตัวดี

 

 

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อิตาลี ต้องพบกับปัญหาการเหยียดผิว โดยเฉพาะในเกมฟุตบอล เซเรียอา ถูกทำให้เสียชื่อเสียงจากเหตุการณ์ดังกล่าวในฤดูกาลนี้หลายต่อหลายครั้ง เช่น ลูกากู และ บาโลเตลลี่ ที่ถูกแฟนบอลเหยียดระหว่างเกมการแข่งขัน  

 

นอกจากนี้ กูรูของช่องโทรทัศน์อิตาลียังถูกปลดออกจากการทำหน้าที่ หลังบอกวิธที่จะหยุด ลูกากู ได้ คือการมอบกล้วย 10 ผลให้กิน ราวกับบอกว่าหัวหอกงูใหญ่ไม่ต่างจากลิง

 

อีกทั้งการเหยียดผิวยังได้ส่งผลไปยังฟุตบอลเยาวชนของ อิตาลี ที่มีบันทึกคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่า 80 เคส จากช่วงเวลา 2 ฤดูกาลหลังสุดเท่านั้น

 

เรื่องราวสุดแย่นี้เกิดขึ้นไล่เรี่ยกับช่วงเปิดฤดูกาลของ เซเรียอา ที่ ยูเวนตุส กับ อินเตอร์ มิลาน กำลังเบียดลุ้นแชมป์ สคูเด็ตโต้ อยู่ ซึ่งนักเตะจากทั้ง 2 ทีมอย่าง ลูกากู กับ สมอลลิ่ง ต้องถูกสื่อในประเทศเหยียดผิวแบบชัดเจน ก่อนที่เกมที่ งูใหญ่ พบ โรม่า และ  ม้าลาย พบ ลาซิโอ

 

นั่นทำให้ทั้งคู่ตอบโต้กับ สื่อแดนมักกะโรนีนั้นโดยตรง โดยหอกชาวเบลเยี่ยม กล่าวถึงเรื่องนี้ในโซเชียล มีเดียของตนว่า นี่เป็นพาดหัวที่งี่เง่าที่สุดที่เขาเคยเจอ และเสริมว่า สื่อเป็นตัวทำให้ปัญหาเหยียดผิวแย่ไปกว่าเดิม แทนที่จะพูดถึงการแข่งขันในสนาม ซาน ซีโร่

 

ขณะที่ กองหลังททีมหมาป่ากรุงโรมก็พูดคล้ายๆกันผ่านทาง ทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า การพาดหัวนี้เป็นสิ่งที่ผิดและทำแบบไม่มีสำนึกเลย และหวังว่า บรรณาธิการของสื่อนั้นจะรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองนำเสนอและพูดออกมาผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย

 

 

ขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้

 

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากปฏิเสธที่จะขอโทษใดๆ อิวาน ซัสซาโรนี่ บรรณาธิการจาก Corriere dello Sport เจ้าเก่า ก็ทำเรื่องแย่กว่าเดิม ด้วยการพาดหัวในวันศุกร์ต่อมาว่า ‘คุณหาว่าใครเหยียดผิว’ ซึ่งดูผิดหลักจรรยาบรรณสื่ออยู่หลายข้อเลย

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตัวของ ซัสซาโรนี่ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับการเป็นสื่อแบบนี้ เพราะในเดือนกรกฏาคมปีที่แล้ว หลังจากที่ทราบว่า ซินิซ่า มิไฮโลวิช กุนซือของ โบโลญญ่า ป่วยเป็นลูคีเมีย เขานำข่าวนี้มาเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ก่อนที่ อดีตแข้งทีมโครเอเชียจะประกาศอย่างเป็นทางการ  

 

ไม่แปลกที่ มิไฮโลิวิช จะบอกว่า ซัสซาโรนี่ ได้ทำลายมิตรภาพของเขาที่มีเวลานานกว่า 20 ปี ด้วยการขายข่าวได้เกิน 200 ก็อปปี้ เพียงเท่านั้น

 

แต่ทว่า ทาง  คาร์โล เวอร์น่า ประธานผู้สื่อข่าวในอิตาลี ก็บอกออกมาหน้าตาเฉยว่าความจริงแล้ว การเหยียดผิวไม่ได้มีอยู่ในฟุตบอลอิตาลีหรือในบรรดาแฟนบอลเลย

 

ในช่วงเดือนธันวาคม 20 สโมสรจากเซเรียอา ได้ร้องเรียนให้ลีกช่วยจัดการเกี่ยวกับการเหยียดผิว แต่กระนั้นก็มีเพียง โรม่า และ มิลาน ที่ตอบโต้พาดหัวนั้นด้วยการ แบนนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ดังกล่าว ห้ามเข้ามาในสนามซ้อมตลอดทั้งปี อีกทั้งพวกเขายังเป็นแค่ 2 สโมสรจากทั้งหมดที่ปฏิเสธ การรณรงค์การต่อต้านการเหยียดที่ผิดจุดประสงค์ของลีก ณ ช่วงเวลาเดียวกัน

 

เซเรียอา เลือกใช้ภาพวาดของลิง 3 ตัว ซึ่งเป็นตัวแทนของลิงตะวันตก ลิงเอเชีย และลิงดำ เพื่อรณรงค์เรื่องการเหยียดผิวในลีก แต่ดูเหมือนว่านี่จะทำให้แฟนบอลส่วนใหญ่ทั่วโลกไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม เนื่องจาก ก่อนหน้านี้มีประเด็นปัญหาในเรื่องเหยียดผิวเมื่อ มาริโอ บาโลเตลลี่, โรเมลู ลูกากู และ คาลิดู คูลิบาลี่ รวมไปถึงนักเตะผิวสีหลายคนในลีก ถูกแฟนบอลฝั่งตรงข้ามทำการเหยียดผิวด้วยการส่งเสียงเลียนแบบลิงในระหว่างการแข่งขัน

 

หลายคนมองว่า ลีกไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเหยียดผิวเลย และทุกอย่างกลับแย่ลงไปอีก เมื่อ ลุยจิ เด เซียร์โว่ ซีอีโอของ เซเรียอา ได้ป้องรูปวดลิง 3 ตัวด้วยการอ้างอิงการปราบปรามพวกฮูลิแกนในฟุตบอลอังกฤษยุค 80 ว่า “เราจะทำให้สิ่งที่ แทชเชอร์ ทำได้ 10 ปี ภายในเวลา 2 ปีเท่านั้น” 

 

แต่อีก 2 วันต่อมา หลังจากกลั่นประโยคนั้นออกไป เขาก็รับปากจะถอนงานชิ้นชี้ออก พร้อมกับบอกว่าขาดความเข้าใจในเรื่องนี้ (อีกแล้ว)

 

 

รับมือกับแฟนบอล 2 ฝั่ง

 

 

การที่นักเตะต้องรับมือการแฟนบอลฝั่งตรงข้ามที่เหยียดผิวในแต่ละเกมก็ลำบากพอแล้ว แต่สำหรับ ลูกากู เขายังต้องเผชิญหน้ากับ แฟนบอลเนรัซซูรี่ อีก

 

หัวหอกวัย 26 ปี ได้แสดงความไม่พอใจอย่างมากที่ กองเชียร์กายารี่ ทำท่าทางและส่งเสียงเหมือนลิงใส่ ในเดือนกันยายน แต่ทว่าแฟนบอลงูใหญ่กลุ่มหนึ่งไม่ได้มองว่า นักเตะในทีมรักของเขาถูกเหยียดผิวแต่อย่างใด

 

คูร์ว่า นอร์ด แฟนบอลสายฮาร์ดคอร์ของอินเตอร์ ได้โพส์เฟสบุ๊คเพื่อชี้แจงกับ ลูกากู ว่า แฟนบอล กายารี่ ไม่ได้ตั้งใจเหยียดผิวใส่เขา แต่ทำไปเพื่อกดดันคู่แข่งเท่านั้น

 

ซึ่งผลจากสอบสวน คณะตุลาการด้านการกีฬาของอิตาลี กลับไม่ได้ตัดสินลงโทษแก่ กายารี่ เนื่องจากมองว่า การล้อเลียนแบบนั้นไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติแบบเจาะจงแต่อย่างใด และการตัดสินนี้ยิ่งดูแย่ไปกว่าเดิม เมื่อพบว่า แฟนบอลกายารี่เคยกระทำลักษณะนี้ต่อนักเตะทีมอื่นมาแล้วด้วย

 

เมื่อฤดูกาลที่แล้ว มอยเซ่ คีน ที่ยังค้าแข้งกับ ยูเวนตุส ก็เกิดเรื่องในลักษณะคล้ายๆกัน แต่ทาง ประธานสโมสรกายารี่ ทอมมาโซ่ กุยลินี่ ได้บอกว่า เสียงเหล่านั้นที่ตะโกนใส่แข้งดาวรุ่งวัย 18 ปี  ไม่ได้เป็นการเหยียดผิวแต่อย่างใด 

 

 

อีกทั้ง มัสซิมิเลียโน่ อัลเรกรี กุนซือม้าลาย และ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ รุ่นพี่ในทีม กลับต่อว่า คีน ว่าไปท้าทายแฟนบอลกายารี่โดยตรงหลังจากทำประตูได้ต่างหาก

 

กรณีแบบนี้ก็ยังมีอีกครั้งกับ บาโลเตลลี่ ในฤดูกาลล่าสุด หลังถูกกลุ่มแฟนบอลอุลตร้าของ เวโรน่า ทำเสียงลิงล้อเลียน จนระบายความโกรธด้วยการเตะบอลขึ้นอัฒจันทร์ และเกือบเดินวอลค์เอ้าท์ออกสนามไป ก่อนจะเพื่อนร่วมทีมจะยื้อให้เขาเล่นต่อจนจบเกม

 

แต่ทางกุนซือคู่แข่ง อิวาน ยูริช และ ประธานสโมสร เมาริซิโอ้ เซ็ตติ กลับบอกว่าไม่เห็นเหตุการณ์ในลักษณะที่ เกรียนโอ้ ให้ร้ายมาแต่อย่างใด

 

เรื่องราวบานปลายขึ้นกว่าเดิม เมื่อหลังเกมนั้น ลูก้า คาสเตลินี่ หนึ่งในแฟนบอลอุลตร้าของ เวโรน่า ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางวิทยุบ้านเกิดในลักษณะที่เหยียด อดีตกองหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ว่ายังไงเขาก็ไม่ใช่คนอิตาเลี่ยนแท้ๆ ก่อนจะถูกสโมสรแบนเป็นเวลา 10 ปีนับตั้งแต่นั้น

 

 

เมื่อไหร่จะดีขึ้น?

 

 

ปฏิกิริยาเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่านี่กลายเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นปกติในอิตาลีได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผิดกับในอังกฤษ ชายคนหนึ่งถูกจับกุมด้วยข้อหาเหยียดผิวในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ในต้นเดือนธันวาคม ซึ่งหลังจากร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็สั่งแบนแฟนบอลคนนั้นตลอดชีวิตทันที รวมถึงที่ทำงานของเขาด้วย

 

ผู้คนไม่รู้ว่าตนเองควรขีดเส้นจำกัดไว้ ณ จุดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ บุคคลสำคัญในวงการฟุตบอล พวกเขาไม่ทราบว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะ, อะไรอาจเป็นการเหยียดผิว หรืออะไรคือสิ่งที่ยอมรับได้ อย่างที่เราๆเห็นกันในช่วงที่ผ่านมา

 

“ปัญหาหลักๆในวันนี้ ไม่ได้มีแค่คนที่สวมฮู้ดเท่านั้น แต่จากคนที่สวมชุดสูทด้วยเช่นกัน” เอดูอาร์โด้ โบนิลล่า-ซิลวา นักสังคมวิทยากล่าวไว้ในหนังสือของเขา ‘Racism Without Racists’ (การเหยียดเชื้อชาติโดยไม่มีชนชั้น) 

 

“ยิ่งเราเข้าใจว่าปัญหาของการเหยียดผิวและเชื้อชาติจำกัดอยู่แค่พวก เดอะ แคลน (คูคลักซ์แคลน), เดอะ เบิร์ธเทอร์ (ผู้ที่ไม่เชื่อว่า บารัค โอบาม่า เกิดในอเมริกา), พวก Tea party หรือ พรรครีพับลิกัน เรายิ่งเข้าใจน้อยลงว่า การครอบครองเกี่ยวกับเชื้อชาติเป็นกระบวนการส่วนรวม และเราทุกคนก็อยู่ในเกมนั้น”

 

หากนั้นเป็นความจริง พวกเราส่วนใหญ่คงมีความลำเอียงทางด้านเชื้อชาติอยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกัน เราก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาได้อย่างปกติในทุกๆวันเหมือนอย่างเคย

 

 เพียงแต่ในอิตาลี ยังมีอีกหลายคนที่ห่างไกลจากความเข้าใจในเรื่องนี้ และ พวกเขาเหยียดผิวก็ยังคงสงสัยต่อไปว่าทำไมเราถึงเรียกพวกเขาว่า ‘พวกเขาเหยียดผิว’ ต่อไป