แบร์ลุสโคนี่คืนวงการ : เอซี มอนซ่า กับเป้าหมายครั้งใหญ่สู่เซเรียอา

 

หลังจากขาย เอซี มิลาน ไปเมื่อ 3 ปีก่อน ล่าสุด ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ก็หวนกลับสู่วงการลูกหนังอีกครั้ง ด้วยการตั้งเป้าพา เอซี มอนซ่า ขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดแดนมักกะโรนีให้ได้

 

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สมาคมฟุตบอลอิตาลี ได้ตัดจบ เซเรีย ซี ประจำฤดูกาลนี้ ซึ่งทำให้ มอนซ่า เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นใน เซเรีย บี ครั้งแรกในรอบ 20 ปี โดยรั้งจ่าฝูงมีแต้มเหนือทีมอันดับ 2 ถึง 16 คะแนน

 

เบื้องหลังความสำเร็จของสโมสรเล็กๆจาก ลอมบาร์เดีย มาจากขุนพลที่ แบร์ลุสโคนี่ ไว้วางใจ นั่นก็คือ อาเดรียโน่ กัลเลียนี่ มือขวาของเขา และ คริสเตียน บร็อคคี่ อดีตผู้เล่นรอสโซเนรี่ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมในตอนนี้

 

แชมป์เซเรีย ซี ถือเป็นก้าวแรกในการขึ้นไปเล่นบนลีกสูงสุดแดนมักกะโรนีของ อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 83 ปี และสะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาอันเรืองรองในอดีตกับ เอซี มิลาน ไม่น้อยเลย

 

 

ความท้าทายครั้งใหม่

 

 

“ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เราต้องการพาเมืองนี้ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในลอมบาร์เดีย ขึ้นไปสู่ เซเรียอา” กัลเลียนี่ กล่าวกับ สกาย อิตาเลีย เมื่อวันอังคารก่อน “ตอนนี้มันอาจจะยากซักหน่อย แต่เราก็พร้อมรับมือกับเงื่อนไขต่างๆที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้เช่นกัน”

 

“เป้าหมายของเรา คือการสร้างทีมระดับท็อป เราพูดคุยกันเรียบร้อยเกี่ยวกับการซื้อขาย งบประมาณของเราจะใช้เพื่อขึ้นไปเล่นใน เซเรียอา เราไม่ได้บ้านะ แต่เราจะทำในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ”

 

“ครั้งนึง ผมเคยถูกถามว่า คุณสามารถหลงใหลกับ เซเรีย ซี ได้อย่างไรในเมื่อคุณเคยมีประสบการณ์เกมมากมายทั่วยุโรป ผมตอบกลับไปว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะ มอนซ่า คือแรงผลักดันแรก และ อันสุดท้ายของผม ที่ยืมจากมิลานเป็นเวลา 31 ปีด้วยกัน”

 

กัลเลียนี่ ถือเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการกีฬาของวงการฟุตบอลเบอร์ต้นๆของโลก ที่เริ่มต้นเส้นทางนี้กับ มอนซ่า ทีมบ้านเกิดในปี 1984 จากนั้นอีก 2 ปีต่อมา แบร์ลุสโคนี่ ก็ช่วยชีวิต เอซี มิลาน จากการล้มละลาย และแต่งตั้งเขาเป็นหัวหน้าผู้บริหารของสโมสร

 

หลังจากนั้นคือประวัติศาสตร์ ช่วงที่ แบร์ลุสโคนี่ เป็นประธานของปีศาจแดงดำ ถือเป็นหนึ่งในช่วงที่มีการเสริมทัพซื้อขายกันมากที่สุดในวงการ ไม่ต่างจาก เรอัล มาดริด ยุคกาลาติกอส หรือ เชลซี ที่มี โรมัน อับราโมวิช เป็นเจ้าของทีม และเปลี่ยนให้สโมสรระดับต้นๆในประเทศให้กลายเป็นยอดทีมประจำทวีปยุโรป

 

ตลอดเวลา 31 ปี กัลเลียนี่ กลายเป็นรู้จักในนาม ‘ราชาแห่งการเซ็นฟรี’ ทั้ง คาฟู, ริวัลโด้, เดวิด เบ็คแฮม, อเล็กซ์ และ โรนัลดินโญ่ คือแข้งดังระดับโลกที่คว้ามาร่วมทีมโดยไม่เงินแม้แต่ยูโรเดียว พร้อมกับมีส่วนช่วยให้ทีมคว้า 29 รายการในช่วงที่เขาทำงานใน ซาน ซีโร่

 

 

มอนซ่า สู่ซาน ซีโร่

 

 

ดังนั้น นี่ถือเป็นช่วงที่คล้ายๆกัน เมื่อทั้งคู่ ตัดสินใจลงทุนกับทีมเล็กๆอย่าง มอนซ่า ในปี 2018 หลังจากที่ขาย มิลาน เมื่อ 3 ปี ก่อน และพวกเขาทำสิ่งที่เคยทำกับ รอสโซเนรี่ ในช่วงแรก ทั้งคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกภายใน 2 ปี รวมไปถึงการรีแบรนด์สโมสรใหม่ จาก เอสเอส มอนซ่า เป็น เอซี มอนซ่า 

 

อดีตแข้งทีมชาติ อิตาลี กาเบรียล ปาเลตต้า, ยูจินิโอ้ ลามันน่า นายทวารจากเจนัว, จูเซ็ปเป้ เบลุคซ๊่ กองหลังจากลีดส์ และ นิโคล่า ริโกนี่ กัปตันทีม คิเอโว้ คือทั้งหมดที่ มอนซ่า ดึงมาร่วมทีมแบบไร้ค่าตัวในปีก่อน โดยมี บร็อคคี่ ที่เคยเริ่มต้นงานคุมทีมกับ มิลาน ในปี 2016 เป็นครั้งแรก นั่งแทนเป็นกุนซือ 

 

ภายใต้การดูแลของ บร็อคคี่, เงินหนุนหลังจาก แบร์ลุสโคนี่ และ ประสบการณ์ซื้อขายที่เหลือล้นของ แบร์ลุสโคนี่ ช่วยสร้างชีวิตใหม่ให้กับสโมสร พร้อมตั้งเป้าไปเล่นใน เซเรียอา เป็นครั้งแรกให้ได้ โดยสถานีต่อไปคือการแข่งขันใน เซเรีย บี ซึ่งมีสโมสรที่อดีตเพื่อนร่วมทีมของ บร็อคคี่ คุมอยู่ ไม่ว่าจะเป็น เบเนเวนโต้ ของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ หรือ โฟรซิโนเน่ ของ อเลสซานโดร เนสต้า

 

แต่เบื้องหลังการผลักดันของ แบร์ลุสโคนี่ ในการพามอนซ่า ไปสู่จุดสูงสุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรนั้น คือความปรารถนาอันแรงกล้าของทีม โดย บร็อคคี่ เผยว่า “ความฝันคือการเห็น มอนซ่า เล่นกับ เอซี มิลาน ในสนาม ซาน ซีโร่”

 

มากกว่านั้น สิ่งที่ กัลเลียนี่ ต้องการเห็นในทีมของเขาคือ การสร้างนักเตะเยาวชนจากอิตาลี ที่เล่นฟุตบอลได้อย่างขาวสะอาด, ยิ่งใหญ่ และ สวยงามไปพร้อมๆกัน

 

คำถามคือ พวกเขาทำแบบเดียวกับที่ อาร์ริโก้ ซาคคี่ เคยปฏิวัติ มิลาน ในยุค 90 ได้หรือไม่? ก็อาจจะเป็นได้ และนั่นคงเป็นสิ่งที่ แบร์ลุสโคนี่ ต้องการ ซึ่งเขาต้องการมันมากๆ ถึงขนาดเคยยื่นข้อเสนอส่วนตัวให้ ซาคคี่ มาคุม มอนซ่า ในเดือนตุลาคมด้วยซ้ำไป

 

 

สโมสรที่ 3 จากมิลาน?

 

 

ฟุตบอลใน มอนซ่า ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก เมื่อเทียบกับวงการ ฟอร์มูล่า วัน ที่เมืองนี้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันของศึก อิตาเลี่ยน กรังด์ปรีซ์ ที่มีขึ้นประจำในทุกๆเดือนกันยายน และเพราะสโมสรฟุตบอลที่นี่ไม่มีประวัติศาสตร์อะไรมากนัก จึงทำให้ แบร์ลุสโคนี่ มีความทะเยอทะยาน อยากจะเขียนมันขึ้นมาตั้งแต่ตอนนี้

 

เมืองที่เงียบสงบ และอยู่ไม่ไกลจาก มิลาน ไม่แปลกที่แฟนบอลใน มอนซ่า จะโน้มเอียงไปเชียร์ทีมใดทีมหนึ่งใน ซาน ซีโร่ เพราะฉะนั้นมันจึงง่ายที่จะคิดว่า มอนซ่าเป็นสโมสรที่ 3 ของเมืองมิลาน ต่อจาก อินเตอร์ และ เอซี มิลาน ในเซเรียอา ได้

 

“มันเป็นคำชมที่ทำให้ผมยินดีจริงๆ แต่มอนซ่า ไม่ใช่สโมสรที่ 3 ในมิลาน” แบร์ลุสโคนี่ กล่าวกับ อิล ชิตตาดิโน่ สื่อท้องถิ่นประจำเมือง เมื่อวันอังคารสัปดาห์ก่อน

 

“นี่คือทีมของ เมืองมอนซ่า ที่ตั้งอยู่ในจังหวัด เบรียนซา และมีประชาการกว่า 900,000 คน มอนซ่า แตกต่างจาก มิลาน ซึ่งมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่ชัดเจน”

 

“เราจะสร้างทีมเพื่อขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของ เซเรีย บี และเป็นที่รู้ว่าการเลื่อนชั้น (ไปเซเรียอา) ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายๆอย่าง ซึ่งบางอย่างก็คาดเดาไม่ได้ แต่เราก็รู้เป็นอย่างดีในเรื่องที่คาดเดาได้ และเราจะทำเต็มที่เพื่อกุมความได้เปรียบจากพวกเขา”

 

อย่างไรก็ตาม อาจมีหลายคนตั้งแง่ว่า มอนซ่า จะกลายเป็นเครื่องมือของ แบร์ลุสโคนี่ ในการกลับไปสู่ยุคทองของเขาอีกหรือเปล่า เหมือนที่เขาเคยกุมอำนาจทั้งเรื่องการเมืองและฟุตบอลไปพร้อมๆกันในอิตาลีเมื่อหลายปีก่อน 

 

คำตอบอาจใช่ก็ได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถตั้งคำถามได้เลย คือความรักที่เขามีให้ต่อฟุตบอล และทุกอย่างที่เกียวข้องกับมัน เช่นเดียวกับ ที่ปรึกษาที่เขาไว้ใจมายาวนานก็หลงรักในกีฬาชนิดนี้ไม่ต่างกัน

 

 

“วันนี้คือช่วงเวลาให้ความสุข, อ่อนไหวและ วุ่นวายสำหรับผม” กัลเลียนี่ กล่าวในงานแถลงข่าวครั้งแรกกับตำแหน่งประธานสโมสรมอนซ่า “ผมคิดถึงฟุตบอลเป็นอย่างมาก ผมคลั่งไคล้ฟุตบอลแบบสุดๆ สำหรับผม แชมเปี้ยนส์ลีก เซเรีย ซี หรือ การที่เด็กเล่นบอลในท้องถนนก็คืออย่างเดียวกัน”

 

“ด้วยนักเตะ และโค้ชที่มี ผมยังคงทำในสิ่งที่ผมเคยทำไว้กับ มิลาน ให้ได้” แบร์ลุสโคนี่ กล่าวเสริมในงานเดียวกัน

 

“ผมฟังพวกเขา ผมให้คำแนะนำพวกเขา ผมกระตุ้นพวกเขา ผมชื่นชมพวกเขาสำหรับผลงานในสนาม ผมกระตุ้นให้ตัวเองช่างสังเกตุ หากผมเห็นบางอย่างไม่ดีในทัศนคติของพวกเขา นั่นจะทำให้ผมไม่สูญเสียความเคยชินที่ดีนี้ไป”

 

แต่ทั้ง 2 หัวเรือใหญ่ของ มอนซ่า จะพาทีมขึ้นมาเล่นในเซเรีย อา และเผชิญหน้ากับ เอซี มิลาน ทีมเก่าของพวกเขา ได้อย่างที่หวังหรือไม่ อีกราวๆ 1 ปีเศษๆนับจากนี้ แฟนบอลทั่วโลกคงได้รู้กัน