แปลกกว่าที่เคย : 6 เรื่องน่ารู้ในแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาล 2019-20

 

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ประจำฤดูกาลนี้ เตรียมจับฉลากในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ณ สำนักงานใหญ่ของ ยูฟ่า ณ เมืองนียง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ วันจันทร์นี้ เวลาประมาณ 6 โมงเย็นตามเวลาประเทศไทย

 

ซึ่งในรอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านมา เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำและสถิติมากมาย หนึ่งในนั้นคือ นี่เป็นรอบแบ่งกลุ่มที่ทำประตูกันมากที่สุดของรายการนี้ โดยซัดไปทั้งหมด 308 ประตู ทำลายสถิติของฤดูกาล 2017-18 ที่ทำไว้ 306 ประตูลงสำเร็จ รวมไปถึงดาวยิงประจำรายการนี้ที่มีแข้งหน้าใหม่ๆโผล่มาเพียบ 

 

และนี่คือ 6 เรื่องน่ารู้ของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มประจำฤดูกาล 2019-20 ที่ดูแปลกและแตกต่างจากรายการนี้ในปีอื่นๆที่เราเคยประสบพบเจอมา

 

หมดยุคโด้-เมสซี่คว้ารองเท้าทองคำ

 

 

ในช่วง 12 ฤดูกาลที่ผ่านมา คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ มักจะผลัดกันคว้ารางวัลดาวซัลโวประจำรายการอยู่เสมอ โดยแข้งจากบาร์เซโลน่าคว้ารางวัลนี้ไป 5 ครั้ง ขณะที่อดีตดาวเตะ เรอัล มาดริด ได้ไป 7 ครั้ง

 

มีนักเตะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำประตูได้ไล่เรี่ยกับ 2 แข้งระดับโลกในช่วง 8 ฤดูกาลหลังสุด เพียงแต่เขาคนนั้นยังไม่ได้คว้ารองเท้าทองคำหรือ ดาวซัลโวในแชมเปี้ยนส์ลีกเท่านั้น

 

และนี่อาจเป็นฤดูกาลของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ก็เป็นได้ เพราะนับตั้งแต่ปี 2011-12 หัวหอกชาวโปลซัดไปทั้งหมด 62 ประตู ตามหลังแค่ เมสซี่ (90) และ โรนัลโด้ (88) เท่านั้น 

 

ปัจจุบัน ดาวยิงบาเยิร์น มิวนิค ซัดไปทั้งหมด 10 ประตู จากรอบแบ่งกลุ่ม 5 นัด มีค่าเฉลี่ยยิงประตูอยู่ที่ 44 นาทีต่อลูก นำห่าง เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ 2 ประตู (และจะมากกว่านี้แน่ในอนาคต) ในขณะที่ เมสซี่ และ โรนัลโด้ ยิงกันไปคนละ 2 ลูกเท่านั้น

 

 

กำเนิดดาวยิงหน้าใหม่

 

 

เป็นเรื่องยากมากๆ ที่เราจะเห็นดาวยิงแจ้งเกิดจากทีมนอกสายตา เช่น ฮาแลนด์ ในฤดูกาาลนี้ หลังกองหน้าวัย 19 ปี ของ เร้ดบลูล์ ซัลซ์บวร์ก ซัดไป 8 ประตูใน 5 เกมแรกในบอลยุโรปของเขา

 

ถึงแม้จะทำได้ขนาดนั้น แต่สโมสรจากออสเตรียก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ต่อไปได้ หลังคว้าเพียงอันดับ 3 ในรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้ ฮาแลนด์ ไม่มีโอกาสเพิ่มประตูให้กับตนเองได้อีกแล้วในรายการนี้

 

ความจริงแล้ว 8 ประตูที่แข้งชาวนอร์เวย์ทำได้นั้นเพียงพอในการคว้าดาวซัลโวของแชมเปี้ยนส์ลีกอยู่เหมือนกัน หากไม่นับ 12 ฤดูกาลหลังสุดที่ เมสซี่ กับ โรนัลโด้ ทำได้

 

อย่างไรก็ตาม เส้นทางในแชมเปี้ยนส์ลีกของ ฮาแลนด์ ยังไม่จบลงซะทีเดียว หลังได้รับความสนใจจากทีมดังในยุโรป แถมมีค่าฉีกสัญญาเพียง 17 ล้านปอนนด์ เท่านั้น 

 

เมื่อประกอบกับกฏใหม่ที่ผู้เล่นจะไม่ติดคัพไทในรายการนี้ หากย้ายไปร่วมทีมที่เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย อาจทำให้แฟนๆเห็นฝีเท้าของกองหน้าดาวรุ่งในบอลยุโรปถ้วยใหญ่อีกครั้งก็เป็นได้

 

 

เปแอชเช ดูเข้าท่ากว่าปีก่อนๆ(เยอะ)

 

 

ปารีส แซงต์ แชร์กแมง มักเป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีในรอบแบ่งกลุ่มเสมอ แต่ทว่าในรอบน็อคเอ้าท์ ทีมจากลีกเอิงก็โดนความกดดันเล่นงานจนตกม้าตายมาหลายครั้งเช่นกัน

 

เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เปแอชเช เป็นจ่าฝูงของกลุ่ม แต่ลิเวอร์พูลที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันดันก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ ส่วนในปีก่อนหน้านั้น พวกเขาก็เป็นที่หนึ่งเหนือ บาเยิร์น มิวนิค ทีมดังจากเยอรมัน

 

แต่ถ้าเราดูจากผลงานที่ทีมแดนน้ำหอมทำได้ในปีนี้ ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมมากๆ โดยหนึ่งในเกมนั้นคือการเอาชนะ เรอัล มาดริด ได้ 3-0 โดยที่ทีมไม่มี เนย์มาร์, เอ็มบัปเป้ หรือ เอดิสัน คาวานี่ ด้วย

 

อีกทั้งในเกมที่บุกไปเยือนเบอร์นาเบว พวกเขาก็ตามตีเสมอได้ 2-2 หลังโดนนำไปก่อนถึง 2 ลูก ทำให้ เปแอชเช ยังไม่แพ้ใครในเกมยุโรปประจำปีนี้

 

อีกทั้ง เอ็มบัปเป้ ยังมีค่าเฉลี่ยยิงประตู 81 นาทีต่อลูกในการลงเล่นทุกรายการของฤดูกาลล่าสุด ยิ่งทำให้หลายคนจับตามองพวกเขาเป็นพิเศษในเอีก 2 เดือนข้างหน้าอย่างแน่นอน

 

อย่าฉลองเกินพอดี

 

 

คลับ บรูกก์ ฉลองกันยกใหญ่ หลังตามตีเสมอ กาลาตาซาราย ไดในเกมที่ 5 ของรอบแบ่งกลุ่ม แต่นั้นกลับทำให้แข้งจากทีมเบลเยี่ยม โดนไล่ออกถึง 2 คน ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

เครแปง เดียตต้า ผู้ทำประตูตีเสมอได้ถอดเสื้อเพื่อฉลองประตูนั้นแบบสุดเหวี่ยง ขณะที่ คลินตัน มาต้า เพื่อนร่วมทีม ก็ระบายความสะใจด้วยการเตะไปที่ธงตรงจุดเตะมุม

 

 ทั้งคู่โดนใบเหลืองที่ 2 และไล่ออกจากสนาม ส่งผลให้พลาดเกมสุดท้ายกับ เรอัล มาดริด ที่พ่ายไป 3-1 แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังได้หล่นไปเล่นยูโรป้า ลีก แทน เนื่องจาก กาลาตาซาราย พ่าย เปแอชเช เช่นกัน

 

 

ทีมแดนผู้ดีโคตรบันเทิง

 

 

การที่ ไคล์ วอล์คเกอร์ ต้องรับบทบามนายทวารจำเป็นให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และสามารถเก็บคลีนชีทได้ใน 10 นาทีสุดท้ายที่พบ อตาลันต้า ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่น่าจดจำในแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลนี้เลย

 

แต่เกมคู่อื่นๆที่มีสโมสรจาก พรีเมียร์ลีก แข่งขัน ก็บันเทิงไม่แพ้กันในฤดูกาลล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นเกมที่เชลซีตามตีเสมอ อาแจ็กซ์ 4-4 รวมไปถึงนัดที่เสมอกับ บาเลนเซีย 2-2

 

ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ พ่าย บาเยิร์น มิวนิค แบบยับเยิน 7-2 แต่พวกเขาก็เข้ารอบน็อคเอ้าท์ได้ด้วยการเอาชนะ เร้ดสตาร์ เบลเกรด 5-0, 4-0 ในเกมต่อมา และ ถล่ม โอลิมเปียกอสไป 4-2

 

ส่วนแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล เบียดเอาชนะ เร้ดบลูล์ ซัลซ์บวร์ก 4-3 ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่ม อตาลันต้าในบ้านไป 5-1

 

 

5 ลีกใหญ่ครองยุโรป

 

 

วัฏจักรทีมใหญ่กินทีมเล็กเริ่มกลับมาให้แฟนบอลเห็นอีกครั้ง เมื่อทีมที่เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายทั้งหมดเป็นสโมสรที่มาจาก 5 ลีกใหญ่ในยุโรป โดยไม่มีทีมม้ามืดปนมาเหมือนครั้งก่อนๆเลย

 

เมื่อฤดูกาลที่แล้ว อาแจ็กซ์ ที่เข้ารอบนี้มาทะลุไปถึงรอบตัดเชือก และเอฟซี ปอร์โต้ ทีมจากโปรตุเกส ก็ผ่านไปไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 

ในฤดูกาล 2017-18 มีทั้ง ชัคตาร์ โดเนตส์ค จากยูเครน, บาเซิ่ล จากสวิตเซอร์แลนด์, เบซิคตัส จากตรุกี และ ปอร์โต้ ที่ผ่านเข้ามารอบน็อคเอ้าท์ได้

 

ทว่าในฤดูกาลล่าสุดเป็นครั้งแรกที่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย มีแค่สโมสรจากอังกฤษ, สเปน, อิตาลี, เยอรมัน และ ฝรั่งเศส เท่านั้น

 

กรุ๊ป เอ : เปแอชเช (แชมป์กลุ่ม), เรอัล มาดริด (รองแชมป์)

กรุ๊ป บี : บาเยิร์น มิวนิค (แชมป์กลุ่ม), สเปอร์ส (รองแชมป์)

กรุ๊ป ซี : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (แชมป์กลุ่ม), อตาลันต้า (รองแชมป์)

กรุ๊ป ดี : ยูเวนตุส (แชมป์กลุ่ม), แอตเลติโก้ มาดริด (รองแชมป์)

กรุ๊ป อี : ลิเวอร์พูล (แชมป์กลุ่ม), นาโปลี (รองแชมป์)

กรุ๊ป เอฟ : บาร์เซโลน่า (แชมป์กลุ่ม), โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (รองแชมป์)

กรุ๊ป จี : แอร์เบ ไลป์ซิก (แชมป์กลุ่ม), ลียง (รองแชมป์)

กรุ๊ป เอช : บาเลนเซีย (แชมป์กลุ่ม), เชลซี (รองแชมป์)