แฟนสิงห์ลืมไม่ลง : ย้อนรอยเกม UCL รอบตัดเชือกสุดอัปยศ เชลซี-บาร์เซโลน่า ปี 2009

 

เชลซี อาจกำลังลงเล่นรอบรองชนะเลิศในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งที่ 7 ในประวัติศาสตร์สโมสร แต่คงไม่มีครั้งไหนสร้างความเจ็บช้ำให้กับ สาวก ‘สิงห์บลู’ ได้เท่าเกมรอบตัดเชือกปี 2009 อีกแล้ว

 

ยอดทีมจากลอนดอน พยายามฝ่าด่านหินเพื่อเข้ารอบชิงให้ได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากอกหักพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2007-08 และมีลุ้นได้ล้างตากับ ‘ปีศาจแดง’ อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา

 

อย่างไรก็ตาม แฟนบอลหลายคนมองว่า เชลซี อาจได้เข้ารอบชิงในฤดูกาลนั้นแล้ว หากไม่มีผู้ตัดสินที่ชื่อว่า ‘ทอม เฮนนิ่ง ออฟเรโบ้’ ทำหน้าที่ในสนามวันนั้นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เนื่องจากตัดสินหลายจังหวะได้ค้านสายตาของผู้ชมไม่น้อย และถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ ‘สิงห์บลู’ ต้องตกรอบไปแบบชอกช้ำ

 

ว่าแต่จุดเริ่มต้นของเกมนัดตัดเชือกสุดอัปยศในสายตาของ แฟนเชลซี เกิดขึ้นอย่างไร UFA ARENA จะพาไปย้อนรำลึกถึงเกมเมื่อ 12 ปีก่อนที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ รวมถึงจังหวะต่าง ๆ ที่หลายคนชวนข้องใจ และเหตุการณ์หลังจากนั้น

 

 

โอกาสล้างตา

 

 

หลังพ่ายช่วงดวลจุดโทษชี้ขาดในแชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2008 ไม่แปลกใจที่ เหล่าพลพรรค เชลซี จะมีแรงกระตุ้นมากขึ้นกว่าเดิมในฤดูกาลต่อมา เพื่อลบล้างความผิดหวังในครั้งนั้น

 

แม้ต้องกระเสือกกระสนเล็กน้อยในรอบแบ่งกลุ่มที่คว้าอันดับ 2 มาครอง แต่ลูกทีมของ กุส ฮิดดิ้งก์ ในตอนนั้น ก็ค่อย ๆ เร่งเครื่องโชว์ฟอร์มเก่ง เอาชนะทั้ง ยูเวนตุส และ ลิเวอร์พูล ในรอบน็อคเอ้าท์ จนเข้ามาถึงรอบตัดเชือกได้ 

 

โดยคู่แข่งของพวกเขาในรอบนั้นก็คือ บาร์เซโลน่า ยอดทีมจากสเปนภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือหนุ่มไฟแรงแห่งยุค ที่กำลังปลุกปั้นให้ เจ้าบุญทุ่ม กลายเป็นสโมสรเบอร์หนึ่งของ ยุโรป ในเวลาต่อมา

 

แม้ต้องเจอกับตัวรุกระดับพระกาฬอย่าง ซามูเอล เอโต้, เธียร์รี่ อองรี และ ดาวรุ่งมากพรสวรรค์อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ แต่ พลพรรคของ สิงห์บลู ก็เล่นเกมรับได้แข็งแกร่งสุด ๆ จนสามารถยันเสมอได้ในเกมเลกแรก ณ สนามคัมป์ นู ด้วยสกอร์ 0-0

 

ดังนั้น โจทย์ในเกมเลกสองที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของ เชลซี จึงไม่ได้มีอะไรซับซ้อนให้มากความ นอกจากพวกเขาต้องชนะให้ได้เท่านั้นก็จะผ่านเข้าไปล้างตากับ ปีศาจแดง เป็นปีที่ 2 ในบอลยุโรป ไม่ว่าสกอร์เท่าไหร่ก็ตาม

 

 

จังหวะชวนข้องใจ

 

Dømte omdiskutert Champions League-semifinale for ti år siden: – Skulle ønske jeg hadde VAR

 

เริ่มเกมเลกสองได้เพียง 8 นาที เจ้าบ้านก็เริ่มต้นได้สวยงามตามที่หวัง เมื่อ มิคาเอล เอสเซียง วอลเลย์ด้วยซ้ายจากระยะ 20 หลาสุดสวยเช็ดคานเข้าไปให้ เชลซี ขึ้นนำ 1-0 

 

‘อาซูลกราน่า’ อาจเป็นฝ่ายครองบอล และทำเกมบุกมากกว่าหลังจากนั้น แต่เกมรับของ ‘สิงห์บลู’ ก็ยังเหนียวแน่น จนสามารถยันสกอร์นี้ไว้ได้ก่อนจบครึ่งเวลาแรก ซึ่งมีจังหวะดราม่าเกิดขึ้นไปแล้ว 2 หน

 

ครั้งแรก เกิดขึ้นในช่วง 23 นาทีของเกม เมื่อ ฟลอร็องต์ มาลูด้า โดน ดานี่ อัลเวส ทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ แต่ ออฟเรโบ้ ไม่เป่าเป็นจุดโทษ แต่ให้เป็นฟรีคิกแทน เนื่องจากมองว่าทั้งคู่ปะทะกันก่อนเข้าไปกรอบเพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเท่านั้น

 

ขณะที่จังหวะต่อมาคือตอนที่ เอริค อบิดัล พยายามเบียดแย่งบอลกับ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ที่กำลังหลุดเดี่ยวไปดวลกับ บิคตอร์ บัลเดส แต่หอกชาวไอวอรี่โคสต์ ถูก แนวรับชาวฝรั่งเศส ขืนจนล้มลงในกรอบเขตโทษ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ เชิ้ตดำชาวนอร์เวย์ ปฏิเสธให้จุดโทษกับทีมเจ้าบ้าน

 

นี่คือจุดที่แฟนบอล เชลซี มองว่า ยอดทีมจากสเปน ควรเหลือผู้เล่น 10 คนตั้งแต่ครึ่งแรกแล้ว แม้ อบิดัล จะโดนไล่ออกจริง ๆ ในครึ่งหลังก็ตาม หลังมองว่าทำฟาวล์ใส่ นิโกล่าส์ อเนลก้า ทั้ง ๆ ที่หอกเลือดน้ำหอมดูสะดุดขาตัวเองจนล้มลงมากกว่าโดนสะกิดจากคู่แข่งก็ตาม

 

จริงอยู่ที่การแจกใบแดงให้ อบิดัล ดูเอื้อประโยชน์ให้กับทีมเจ้าบ้าน แต่พวกเขาก็มองว่าตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบกว่า เมื่อชวดได้จุดโทษเป็นครั้งที่ 3 จากจังหวะที่ อเนลก้า สะกิดบอลข้ามตัว เคราร์ด ปิเก้ ก่อนไปโดนมือที่กองหลังชาวสแปนิช ยกขึ้นมาชัดเจน แต่ก็ถูก ออฟเรโบ้ เมินเป่าเป็นจุดโทษอยู่ดี

 

ดราม่าท้ายเกม

 

 

เกมเดินทางมาถึงนาทีที่ 90 และทำท่าว่า เชลซี จะเป็นฝ่ายคว้าชัยได้สำเร็จ แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลก เมื่อ บาร์เซโลน่า ได้ประตูตีเสมอจากลูกยิงไกลของ อันเดรส อิเนียสต้า ช่วงทดเวลา ซึ่งเป็นการยิงตรงกรอบหนเดียวของ บาร์ซ่า จากโอกาสทั้งหมด 10 ครั้งในเกมนั้น

 

ด้วยผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้ เชลซี และแฟนบอลของพวกเขาแทบทรุดไปหลังโดนตีเสมอ เนื่องจากประตูดังกล่าวจะทำให้ทีมของ กวาร์ดิโอล่า ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วยกฏประตูทีมเยือน

 

แม้เหลือเพียงนาทีเศษ ๆ แต่ทีมของ ฮิดดิ้งก์ ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ บุกเต็มที่ในช่วงเวลาสุดท้าย เมื่อ แฟรงค์ แลมพาร์ด เปิดมุมเข้ามา ก่อนที่คู่แข่งบอลสกัดมาเข้าทางปืนของ มิชาเอล บัลลัค วอลเลย์ด้วยขวา แต่ เอโต้ กลับกางแขนขึ้นมาขวางทางบอลอย่างชัดเจนอีกครั้ง ทำให้แฟนบอลส่วนใหญ่ (ที่ไม่ใช่แฟน บาร์ซ่า) มองว่าเป็นจุดโทษแน่นอน

 

ทว่า เปาชาวนอร์เวย์ ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เหตุการณ์ กลับไม่ได้มองแบบนั้น และ ยกมือปฏิเสธจุดโทษแก่ เชลซี เป็นครั้งที่ 4 ในเกมนั้น จนกองกลางชาวเยอรมัน วิ่งเข้ามาต่อว่า ออฟเรโบ้ ทันที จนกระทั่งสิ้นเสียงนกหวีดจบเกมในเวลาต่อมา

 

ผลเสมอ 1-1 ทำให้ เชลซี ตกรอบอดเข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศแบบชอกช้ำ แต่ที่เจ็บปวดมากกว่านั้นคือ การทำหน้าที่ของผู้ตัดสินใจเกมนั้นที่ต่ำกว่ามาตรฐาน กลายเป็นประเด็นดราม่าหลังเกมที่หลายคนไม่อาจลืมเลือน

 

 

สารภาพความผิด

 

Tom Henning Ovrebo - Eurosport

 

แข้ง เชลซี หลายคนเข้ามารายล้อม ออฟเรโบ้ เพื่อประท้วงกับคำตัดสินของเขา ไม่ว่าจะเป็น จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีม, บัลลัค หรือ โฆเซ โบซิงวา ขณะที่ ดร็อบา แสดงความหัวร้อนออกมาแบบไม่แคร์สายตาใคร ด้วยการสบถคำหยาบผ่านกล้องถ่ายทอดสดอย่างชัดเจนหลายครั้งว่า “แม่งโคตรอัปยศเลยว่ะ” (It’s a fucking disgrace)

 

ขณะที่ บาร์เซโลน่า ผู้ผ่านเข้ารอบชิง สามารถเอาชนะ แมนยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยุโรปมาครองอย่างยิ่งใหญ่ และกลายเป็นทริปเบิ้ลแชมป์ครั้งแรกของสโมสร และในอาชีพกุนซือของ กวาดิโอล่า ด้วย

 

 แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตาม ด้าน ฮิดดิ้งก์ อดีตกุนซือของ สิงห์บลู ก็ออกมาให้ความเห็นว่านี่เป็นการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินที่แย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาเลย 

 

“การทำหน้าที่ของผู้ตัดสินทำให้ผมประหลาดใจจริง ๆ เพราะในอดีตเขาทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมสมบูรณ์ นี่เป็นการตัดสินที่แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาหรือเปล่า? ผมคิดว่าคงเป็นแบบนั้นแหละ” กุนซือชาวดัตช์ กล่าวกับ Ziggo Sport สื่อกีฬาในบ้านเกิด

 

“นี่เป็นครั้งเดียวทีผมคิดว่ามีการล็อกผลการแข่งขันด้วยซ้ำ”

 

เสียงวิจารณ์เหล่านั้นยังคงตามหลอกหลอน ออฟเรโบ้ เรื่อยมา และเจ้าตัวก็เคยออกมายอมรับจริง ๆ ว่าเขาทำหน้าที่ผิดพลาดในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกรอบตัดเชือกในปี 2009

 

Chelsea 'nul points' plan - Eurosport

 

“มันไม่ใช่วันที่ดีที่สุดสำหรับผม บางวันคุณก็ไม่สามารถทำได้ในระดับที่ควรจะเป็น ผมไม่อาจภูมิใจกับการทำหน้าที่ในวันนั้นได้เลย” เชิ้ตดำชาวนอร์เวย์ ให้สัมภาษณ์กับ มาร์ก้า สื่อดังของสเปนในปี 2018

 

“เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอาชีพ ผมสามารถพบกับ 2,3,4,5 เปอร์เซนต์ของเกมที่ผมทำผลงานได้แย่มาก ๆ หรืออีก 95% ที่ทำได้ดี”

 

“ผมคิดว่าในฐานะผู้ตัดสิน รวมไปถึงผู้เล่นหรือโค้ชด้วย พวกคุณล้วนมีขึ้นมีลงในอาชีพ แต่สิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับการตัดสินก็คือ มันมีเส้นกั้นบาง ๆ ระหว่างสวรรค์หรือนรกอยู่” 

 

ไม่ว่า ออฟเรโบ้ จะออกมายอมรับถึงความผิดพลาด หรือออกมาแก้ตัวอีกกี่ครั้งหลังจากนี้ เชื่อว่า แฟน ๆ ของเชลซี คงไม่มีวันให้อภัยการทำหน้าที่ของเขาในเกมวันนั้นอย่างแน่นอน

 

ทั้งตอนนี้หรือในอนาคตก็ตาม…