3 ปีที่ว่างเปล่า : โซลชากับความล้มเหลวในฐานะกุนซือปีศาจแดง

โซลชา

ช่วงเวลาของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในฐานะผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สิ้นสุดลงเรียบร้อย หลังจากทำหน้าที่นี้มาเกือบ 3 ปีเต็ม

กุนซือชาวนอร์เวย์ กลับมา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเดือนธันวาคมปี 2018 โดยเข้ามารักษาการแทนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ก่อนทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนได้สัญญาคุมทีมเต็มตัวในเวลาต่อมา พร้อมความหวังว่าเจ้าของฉายา ‘เพชรฆาตหน้าทารก’ จะพา ‘ปีศาจแดง’ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปอย่างที่หลายคนคาดคิด และท้ายที่สุดเขาก็โบกมือลาทีมไปโดยไม่มีแชมป์แม้แต่รายการเดียว อีกทั้งไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นกุนซือระดับท็อปของวงการได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อได้แข้งระดับโลกย้ายมาร่วมทีมด้วย

ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงพาไปวิเคราะห์ถึงปัญหาใหญ่หลักๆที่ส่งผลให้เก้าของ โอเล่ ในโรงละครแห่งความฝันต้องสั่นคลอน ก่อนต้องจำใจลาทีมไปแบบน่าผิดหวังทั้งในสายตาของแฟนบอล รวมถึงตัวเขาเองด้วย 

 

ไร้ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ

Solskjaer wants 'two or three' signings as Man United lose Europa League

3 ปีที่ไม่มีถ้วยแชมป์ให้สัมผัส แม้ต้องพบกับความพ่ายแพ้แบบหมดสภาพในช่วงท้ายๆของการคุมทีม แต่นั่นก็เป็นการทบทวนการทำหน้าที่ของ โซลชา ในฐานะกุนซือ ‘ปีศาจแดง’ เช่นกัน

โชเซ่ มูรินโญ่ คว้าแชมป์เมเจอร์ 3 รายการ, หลุยส์ ฟาน กัล ทิ้งท้ายด้วยการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ หรือ เดวิด มอยส์ อย่างน้อยก็คว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ ได้ แต่หากไม่มีถ้วยรางวัลก็ยากที่จะพูดได้เต็มปากว่าทีมมีความก้าวหน้าขึ้น และในยุคของกุนซือชาวนอร์เวย์ ก๋ไม่มีช่วงเวลาสำคัญเหล่านั้น และไม่มีอะไรให้แฟนบอลได้เฉลิมฉลองเลย

เชื่อว่าหลายสิ่งหลายอย่างคงต่างไปจากที่เป็นในตอนนี้พอสมควร หาก แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถยิงจุดโทษช่วงชี้ขาดเอาชนะ บียาร์เรอัล ในนัดชิงชนะเลิศของศึกยูโรป้า ลีก เมื่อฤดูกาลก่อน นี่อาจไม่ใช่รายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่มันคงช่วยให้ลูกทีมของ โซลชา มีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า หลังจบอันดับ 2 ในลีก และคงทำให้แฟนบอลได้เห็นแสงแห่งความหวังด้วย

การพลาดจุดโทษของ ดาบิด เด เคอา เป็นช่วงเวลาที่โหดร้าย แต่การล้มเหลวในช่วงเวลาสำคัญในครั้งนั้นรวมถึงก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อตำแหน่งของ อดีตดาวยิงทีมชาตินอร์เวย์ ในเวลาต่อมา

ในฤดูกาล 2019-20 ยูไนเต็ด ผ่านเข้าไปถึงรอบตัดเชือกถึง 3 รายการ และพวกเขาก็ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานจนต้องร่วงทั้ง 3 รายการ ทั้งต่อ เชลซี ในเอฟเอ คัพ, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในคาราบาว คัพ และ เซบีย่า ในยูโรป้าลีก

ฤดูกาลต่อมา พวกเขาก็พ่ายในรอบรองอีกครั้งให้กับ ‘เรือใบสีฟ้า’ ทีมอริร่วมเมืองที่ก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ลีก คัพ ได้ 4 ปีติดต่อกัน

ถ้าการพ่ายจุดโทษต่อ บียาร์เรอัล เป็นเพราะโชคไม่ดี เกมรอบตัดเชือก 4 ครั้งก่อนหน้านี้ก็คงเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่าทีมนี้ไม่สามารถคว้าชัยชนะได้ ยามที่ต้องเผชิญแรงกดดัน ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆและมากขึ้นไปทุกที

 

แทคติกที่อ่อนด้อยและไร้รูปแบบที่ชัดเจน

Man Utd have to end this now - Ole Gunnar Solskjaer is out of his depth

ก่อนความพ่ายแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ครั้งล่าสุด โซลชา สามารถโอ้อวดได้ว่าเขาเป็นคู่ปรับของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่มีสถิติเหนือกว่า ทั้งการบุกไปคว้าชัยถึง เอติฮัด สเตเดี้ยม 3 หน รวมไปถึงเกมสำคัญนัดอื่นๆ เช่นเกมคว้าชัยเหนือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งล้วนเป็นช่วงเวลาที่น่าภูมิใจ และสยบเสียงวิจารณ์ในตัวเขาได้

แต่ความพ่ายแพ้ในเกมดาร์บี้และการโดน ลิเวอร์พูล คู่แค้นตลอดกาลบุกมาถล่มถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 5-0 ทำให้ กุนซือชาวนอร์เวย์ โดนพูดถึงอย่างหนักทั้งในแง่การไม่มีไหวพริบในการแก้เกม หรือการบริหารจัดการที่ย่ำแย่เกินกว่าจะพา ยูไนเต็ด กลับไปยอดทีมได้อีกครั้ง

ผู้จัดการทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 คนล่าสุดคือ กวาร์ดิโอล่า และ เจอร์เก้น คล็อปป์ ล้วนเป็นกุนซือเบอร์ต้นทั้งในลีกและยุโรป นั่นคือระดับที่ โอเล่ กำลังแข่งขันอยู่

ในขณะเดียวกัน การมาของ โธมัส ทูเคิ่ล ช่วงกลางฤดูกาลก่อน ก็ยืนยันคุณภาพของเขาได้ฐานะกุนซือ เชลซี เช่นกัน หลังยกระดับทีมขึ้นไปหลายเท่าตัวจากสมัยที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ตำนานของสโมสรที่มีประสบการร์คุมทีมเพียงน้อยนิด ยิ่งทำให้ อดีตกองหน้าชาวนอร์เวย์ ดูด้อยกว่าเดิมอีก

ย้อนไปช่วงแรกเริ่มเดิมที โอเล่ เข้ามาในฐานะกุนซือขัดตาทัพ โดยมีประวัติคุมทีมก่อนหน้านี้แค่ โมลด์ และ คาร์ดิฟฟ์ เท่านั้น ซึ่งถูกหยิบยกมาพูดถึงหลายครั้ง (โดยเฉพาะกับ คาร์ดิฟฟ์ที่พาทีมตกชั้น) เมื่อเขาพาทีมผลงานแย่ และเมื่อผลงานไม่กระเตื้อง การอภิปรายถึงความสามารถด้านต่างๆของเขาก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการทำเกมของ ยูไนเต็ด, การหาสมดุลในแดนกลาง, โครงสร้างเกมรับ หรือ รูปแบบการเล่นเกมรุก

เหล่าผู้วิเคราะห์เกมหลายคน ได้หยิบยกข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆในแต่ละเกมที่ส่งผลให้ ยูไนเต็ด เพลี่ยงพล้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งความผิดพลาดในเกมรับ, จุดอ่อนลูกตั้งเตะ การยืนตำแหน่งที่ผิดพลาดในเกมรับแดนกลาง หรือแผนการเพรสซิ่งที่ไม่ชัดเจน

และในยุคที่ปรัญชาการคุมทีมเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับกุนซือในยุคปัจจุบัน โซลชา ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเขามีสไตล์การเล่นแบบไหนที่ชัดเจนเลย

ชัยชนะส่วนใหญ่ล้วนมาจากการเล่นแบบโต้กลับ แต่ ยูไนเต็ด กลับมีข้อด้อยในการเล่นมากมาย ทั้งจุดอ่อนในการเล่นพื้นที่แคบๆ, แก้บอลเพรสซิ่งสูงไม่ได้, ความซับซ้อนของแทคติคทั้งตอนที่ครองบอล หรือไม่มีบอล หรือเจาะไม่เข้าเมื่อเจอคู่แข่งที่รับลึก

ในลีกที่ กวาร์ดิโอล่า, คล็อปป์ หรือผู้มาใหม่อย่าง ทูเคิ่ล สามารถสร้างมาตรฐานรูปแบบการเล่นของทีมได้ชัดเจน โอเล่ กลับใช้เวลามากเกินไปในการประกอบชิ้นส่วนต่างๆในทีมให้เข้ากัน แถมสุดท้ายก็หาจุดลงตัวไม่ได้เสียที

มันได้ผลหรือแก้ขัดได้ในบางครั้ง แต่ไม่มีทางที่นั่นจะกลายเป็นสูตรสำเร็จที่ช่วยให้ ยูไนเต็ด กลับไปเป็นยอดสโมสรอีกครั้งแน่นอน

 

แผลที่ถูกเปิดจากการมาของ CR7

Cristiano Ronaldo finally speaks up after Solskjaer's sack at Manchester  United – The Man United Fans

แม้ซัดไป 9 ประตูจาก 12 นัด แต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเตะขวัญใจ เร้ด อาร์มี่ กลับถูกมองเป็นแพะรับบาปที่ทำให้ ยูไนเต็ด ต้องกระเสือกกระสนอยู่ในฤดูกาลนี้

ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ยิงประตูให้ทีมทุกนัดจาก 4 เกมแชมเปี้ยนส์ลีก ทั้งประตูชัยเหนือ บียาร์เรอัล หรือ เกมเจ๊า อตาลันต้า (2 ลูก) จนช่วยให้ทีมเก็บ 7 แต้ม  ขณะที่ในพรีเมียร์ลีก เขาอาจไม่ได้รวดเร็วเช่นวัยหนุ่ม แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในการประตูที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร ณ วัย 36 ปี

แต่การที่ ยูไนเต็ด ไม่มีการเล่นที่ชัดเจนทั้งในเกมรุกและรับเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นั่นส่งผลกระทบต่อนักเตะที่ โซลชา เลือกลงสนาม อีกทั้งยังจำเป็นต้องเปลี่ยนสไตล์เพื่อปรับให้เข้ากับจุดแข็งและจุดอ่อนของ CR7 ด้วย

หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือหาแทคติกหรือแผนที่ลงตัวในการใช้งาน โรนัลโด้ ให้มีประสิทธิภาพกับทีมมากที่สุดไม่ได้เลยนั่นเอง 

“ยูไนเต็ดจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีโด้?” นี่กลายเป็นคำพูดที่หลายคนหยิบยกมา โดยมองว่าการมาของโรนัลโด้ ได้เปลี่ยนเส้นทางของทีมออกจากทางที่พวกเขากำลังก้าวหน้า และถึงทำประตูได้มากขึ้น แต่ก็ส่งผลต่อการเล่นโดยรวม

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลายคนคิดแน่นอนในตอนที่ทราบข่าวการย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ตอนที่ ยูไนเต็ด บรรลุข้อตกลงดึงหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลกลับมาที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม บางทีปัญหาสำคัญสำหรับกุนซือวัย 48 ปี เมื่อพูดถึงโรนัลโด้คือ การกลับมาของเขาทำให้ความคาดหวังสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว มากเสียยิ่งกว่าตอนที่ดึง จาดอน ซานโช่ หรือ ราฟาแอล วาราน เข้ามาเสียอีก

หอกแดนฝอยทอง ถูกมองว่าเป็นนักเตะที่สามารถเปลี่ยนเกมได้ เป็นซูเปอร์สตาร์ที่พร้อมถล่มประตูเพื่อช่วยให้ ยูไนเต็ด ขึ้นไปผู้ท้าชิงแชมป์อย่างจริงจัง และเมื่อ โรนัลโด้ เข้ามาก็ถึงเวลาคว้าแชมป์แล้วในสายตาของแฟนๆ แต่ความก้าวหน้าที่มั่นคงและการสร้างไปสู่บางสิ่งในฤดูกาลถัดไป กลายเป็นสิ่งที่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักโดยที่ไม่มีใครพูดถึงแทน

โรนัลโด้ เป็นผู้ชนะที่คว้าแชมป์มามากมาย แต่ทุกครั้งที่มาตรฐานของ ‘ปีศาจแดง’ ตกลง กล้องจากทุกสารทิศก็จับมาที่เขา ซึ่งกำลังแสดงท่าทีที่ผิดหวัง และเขาไม่ได้กลับมาเพื่อโดน ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ สอนบอล หรือ อับอายในเกมพ่าย วัตฟอร์ด แน่นอน

การเซ็นสัญญา CR7 กลับกลายเป็นดาบสองคมที่เพิ่มแรงกดดันมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวให้กับ โซลชา และกลายเป็นสปอตไลท์ที่ส่องแสงให้เห็นชัดเจนขึ้นกว่าเดิมว่าเขามีจุดบกพร่องเกินกว่าจะพา แมนฯ ยูไนเต็ด กลับไปยิ่งใหญ่อย่างที่เคยเป็นอีกครั้งได้

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ปีศาจแดง
ดูไว้แต่เนิ่นๆ : ส่อง 5 ว่าที่กุนซือคนใหม่ปีศาจแดง