โดนโก่งแล้วไง : 10 แข้งค่าตัวแพงเว่อร์แต่ผลลัพธ์โคตรคุ้ม

 

ในตลาดนักเตะยุคปัจจุบัน ต่างเต็มไปด้วยนักเตะที่มีมูลค่าสูงเกินจริงมากมาย ทั้งที่พวกเขาเหล่านั้นยังไม่ได้พิูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถมากขนาดนั้นเลย

 

ในกรณีล่าสุดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุ่มทุนกว่า 85 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กองหลังตัวเก่งของเลสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทีมเป็นสถิติโลกเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา และด้วยค่าตัวที่มากมายมหาศาลขนาดนั้นอาจสร้างแรงกดดันให้กับนักเตะขนโชว์ฟอร์มไม่ออกอย่างที่หลายเคยเป็นมาแล้ว เช่น แอนดี้ แคร์โรล กับที่ล้มเหลวกับลิเวอร์พูล หรือ อังเคล ดิ มาเรีย ที่ดับสนิทกับปีศาจแดง

 

อย่างไรก็ตาม การใช้เงินแก้ปัญหาก็ไม่ได้มีแต่ผลลัพธ์ที่แย่เสมอไป เพราะยังมีนักเตะอีกหลายคนที่ย้ายมาด้วยค่าตัวที่แพงเว่อร์แต่ก็สามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและคุ้มค่าตัวตัวทุกบาททุกสตางค์ จนทำให้เสียงวิจารณ์โจมตีมากมายเงียบหายไปสนิท

 

และนี่คือ 10 แข้งค่าตัวโคตรแพง แต่ผลงานโคตรคุ้มค่าแบบไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นเช่นนั้น ซึ่งหวังว่า แม็คไกวร์จะเอานักเตะเหล่านี้เป็นตัวอย่างนะ    

 

 

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค – เซาธ์แฮมป์ตันไปลิเวอร์พูล, 2018 (75 ล้านปอนด์)

 

 

ในช่วงต้นปี 2018 ลิเวอร์พูลได้เดินหน้าเจรจากับทีมขาประจำของพวกเขาอย่าง เซาธ์แแฮมป์ตัน เพื่อคว้าตัว ฟาน ไดจ์ค มาด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ นอกจากการเสริมทัพในครั้งนี้จะทำให้แข้งชาวดัชต์เป็นกองหลังที่มีค่าตัวสูงที่สุดในโลกแล้ว ทีมหงส์แดงยังเสียเงินให้กับทีมนักบุญไปแล้วกว่า 165 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลาแค่ 3 ปีครึ่งเท่านั้น ไม่แปลกใจที่ใครหลายจะมองว่าลิเวอร์พูลใช้เงินมากเกินไปกับนักเตะที่ยังไม่ได้คว้าแชมป์หรือพิสูจน์อะไรมากมายในเกมใหญ่ๆเลย

 

ฟาน ไดจ์ค ไม่ได้เข้ามาช่วยให้เกมรับของเจอร์เก้น คล็อปป์ ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงจุดนี้ให้ยอดเยี่ยมขึ้นหลายเท่าตัว จากที่เสียประตูไป 42 ลูกในลีกเมื่อฤดูกาล 2016-17 คิดค่าเฉลี่ยเป็น 1.21 ลูกต่อนัด และทันทีที่อดีตแข้งเซลติกเข้ามาในถิ่นแอนฟิลด์ ค่าเฉลี่ยก็ลดลงเหลือ 0.66 แถมในฤดูกาล 2018-19 ยังลดลงไปอีกถึง 0.58 ลูกต่อนัดเลยทีเดียว

 

22 ประตูที่เสียไปทำให้พวกเขาเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณ ฟาน ไดจ์ค และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารค่าตัวแพงอีกคน (66 ล้านปอนด์) ที่ทำให่แนวรับของทีมแข็งแกร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน 

 

แม้ตอนนี้ ฟาน ไดจ์ค จะเสียตำแหน่งกองหลังค่าตัวแพงที่สุดไปให้กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ที่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 85 ล้านปอนด์ แต่เชื่อว่าถ้ามีการซื้อขายเกิดขึ้นกับตัวเขาอีก ยังไงกองหลังชาวดัชต์ก็ต้องมีค่าตัวที่สูงมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน

 

 

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา – มาร์กเซยไปเชลซี, 2004 (24 ล้านปอนด์)

 

 

โชเซ่ มูรินโญ่ ได้คว้าตัวผู้เล่นหน้าเดิมมาร่วมทีมอยู่หลายคน และ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ คือนักเตะที่เขาดึงมาร่วมงานกับทีมที่เขาคุมมากที่สุด (3 ทีม) แต่ ดร็อกบา เป็น นักเตะที่สำคัญมากที่สุดเท่าที่กุนซือชาวโปรตุกีสเคยเซ็นมาร่วมทีม

 

เงิน 24 ล้านปอนด์ที่เชลซีเสียไปให้กับหัวหอกชาวไอวอรี่ โคสต์ มันเป็นมูลค่ามากมายเกินไปในปี 2004 โดยเฉพาะเมื่อเงินจำนวนนี้ต้องจ่ายเพื่อคว้าตัวแข้งวัย 26 ปี ที่ไม่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไร และมีค่าตัวแค่ 3.3 ล้านปอนด์เท่านั้นในปีก่อน (18 เดือนที่แล้ว แก็งก็องคว้าตัวมาแค่ 80,000 ปอนด์เท่านั้น) แน่นอนว่า มาร์กเซยไม่ต้องการขายดร็อกบาออกไป แต่กำไรกว่า 20 ล้านปอนด์ เป็นอะไรที่ปฏิเสธได้ยากจริงๆ

 

หลังจากนั้น ทีมสิงห์บลูก็ได้กองหน้าระดับโลกมาร่วมทีม และกลายเป็นแข้งคู่ใจเบอร์ต้นๆของ เดอะ สเปเชี่ยล วัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ซึ่งตัวของดร็อกบาอยู่ในถิ่นสแตมป์ฟอร์ด บริดจ์ ถึง 9 ฤดูกาล พร้อมทั้งพาทีมคว้าแชมป์มาครองได้ทุกรายการที่เขาลงเล่นอีกด้วย

 

 

ดานี่ อัลเวส – เซบีย่าไปบาร์เซโลน่า, 2008 (28.5 ล้านปอนด์)

 

 

ค่าตัว 23.5 ล้านปอนด์กับที่บาร์เซโลน่าต้องจ่ายไปให้กับเซบีย่า เพื่อคว้าตัว ดานี่ อัลเวส มาร่วมทีม ถือว่าสูงพอตัวแล้ว พวกเขายังต้องจ่ายเพิ่มอีก 5 ล้านปอนด์อีก หาก แบ็คชาวแซมบ้าได้ลงเล่นและพาทีมคว้าแชมป์ต่างๆตามเงื่อนไข แต่ 16 แชมป์ที่เขาได้ชูในสีเสื้อทีมอาซูลกราน่า คงเป็นอะไรที่เกินกว่าคำว่าคุ้มไปแล้วล่ะ

 

นอกจากนี้แบ็คจอมบุกยังไม่ได้ช่วยให่บาร์เซโลน่าเป็นทีมที่แข็งแกร่งในยุโรปเท่านั้น เขายังช่วยให้ตำแหน่งนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นกว่าเดิมและมีความสำคัญมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และที่สำคัญ เป็ป กวาร์ดิโอล่า ก็ไม่เคยโดนโจมตีกับการใช้เงินคว้าฟูลแบ็ค มาร่วมทีมเลยหลังจากดีลของอัลเวสเป็นต้นมา

 

 

เจมี่ วาร์ดี้ – ฟลีตวู๊ต ทาวน์ไปเลสเตอร์ ซิตี้, 2012 (1.7 ล้านปอนด์)

 

 

ค่าตัวของวาร์ดี้อาจจะดูน้อยนิดเมื่อเทียบกับนักเตะคนอื่นๆในลิสต์นี้ แต่ 1 ล้านปอนด์ถือเป็นเงินที่มากมายเกินไปในการคว้านักเตะจากสโมสรนอกลีกมาร่วมทีม พร้อมกับบวกออฟชั่นเสริมไปอีก 700,000 ปอนด์ 

 

การจ่ายเงินจำนวน 7 หลักให้กับแข้งวัย 25 ปีที่ไม่เคยลงเล่นในฟุตบอลอาชีพเลยแม้แต่นัดเดียวถือว่าเป็นอะไรที่เสี่ยงมากๆสำหรับเลสเตอร์ แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์ที่ออกมากลับดีเกินกว่าที่ใครคาดคิดไว้หลายเท่าตัว

 

ขณะเดียวกัน ฟลีตวู๊ต ก็ได้โบนัสเพิ่มในทุกครั้งที่วาร์ดี้เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ และจะได้รับเงินเพิ่ม 20 ถึง 33 เปอร์เซนต์ (จากรายงานของสื่อที่แตกต่างกัน) จากค่าตัวในการย้ายทีมครั้งต่อไปของเขา 

 

 

ยาย่า ตูเร่ – บาร์เซโลน่าไปแมนฯซิตี้, 2010 (24 ล้านปอนด์)

 

 

“แข้งชาวไอวอรี่ โคสต์ เป็นแค่นักเตะธรรมดาที่ได้รับค่าเหนื่อยถึง 200,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ เขายิงประตูได้มั้ย? ไม่ เขาสร้างสรรค์มันได้มั้ย? ก็ไม่ เขาดีพอจะเล่นเป็นกองกลางตัวโฮลบอลหรือเปล่า? ก็พอได้ แต่ เดอ ยอง, วิเอร่า และ แบร์รี่ ทำหน้าที่นี้ไปแล้ว” พอล เมอร์สัน กูรูลูกหนังชื่อะดังในอังกฤษ วิจารณ์แข้งหน้าใหม่ของเรือใบสีฟ้าและให้เรตการคว้าตัวตูเร่แค่ 2 เต็ม 5 เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ ยายา ตูเร่ ย้ายจากบาร์เซโลน่า มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาก็สถาปนาให้ตัวเองกลายเป็นกองกลางคนสําคัญที่ทีมขาดไม่ได้ และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดเท่าที่ทีมเคยมีมา

 

 

เควิน เดอ บรอยน์ – โวล์ฟสบวร์กไปแมนซิตี้, 2015 (55 ล้านปอนด์)

 

 

แม้จะได้อยู่กับทีมยักษ์ใหญ่ในอังกฤษอย่าง เชลซี แต่ทีมที่ทำ เควิน เดอ บรอยน์ แจ้งเกิดจริงๆคือ โวล์ฟสบวร์ก ทีมระดับกลางในบุนเดสลีก้า เยอรมัน จนสามารถช่วยให้หมาป่าเมืองเบียร์ขึ้นไปลุ้นแชมป์กับบาเยิร์น มิวนิค ได้อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะทุ่มทุนกว่า 55 ล้านปอนด์ เพื่อดึงตัวเขาไปร่วมทีม

 

แน่นอนว่าย่อมมีเสียงค่อนขอดตามมาอยู่แล้ว ว่าเรือใบสีฟ้าใช้เงินมากเกินไปกับผู้เล่นที่ดีแต่ยังไม่การันตีความสามารถอะไรนัก แถมยังมี ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่คว้ามาจากลิเวอร์พูลด้วยค่าตัวถึง 49 ล้านปอนด์อีก แต่ว่าพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่าเงินทุกปอนด์ที่เสียไปคุ้มค่ามากแค่ไหน หลังจากที่ เป็ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามากุมบังเหียนทีม

 

 

จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน – ปาร์ม่าไปยูเวนตุส, 2001 (32.6 ล้านปอนด์)

 

 

จริงๆแล้วการซื้อตัวในครั้งนั้นเป็นสกุลเงินลีร์ สกุลเงินของอิตาลีที่เลิกใช้กันไปตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งทำให้ค่าตัวของ บุฟฟ่อนทะลุหลักพันล้านเลย 

 

ตัวเลขเหล่านี้ยังทำให้นายทวารชาวอิตาลีขึ้นแท่นเป็นผู้รักษาประตูที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก และยืนยาวมากว่า 17 ปี ก่อนที่จะถูก อลิสซอน เบ็คเกอร์ ทำลายลงไปในซัมเมอร์ที่แล้ว นอกจากนี้ ยูเวนตุส ยังไปคว้าตัว ลิลิยง ตูราม เพื่อนร่วมทีมของบุฟฟอ่นจากปาร์ม่า มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 22 ล้านปอนด์ ซึ่งทำสถิติเป็นกองหลังที่แฟงที่สุดในโลก ณ ตอนนั้นอีกด้วย 

 

 

เทรเวอร์ ฟรานซิส – เบอร์มิงแฮมไปน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, 1979 (1 ล้านปอนด์)

 

 

ค่าตัวจริงๆแค่ 999,999 หรือ 1 ล้านปอนด์? หรือมากกว่านั้น? แต่คำถามที่สำคัญมากกว่านั้นคือ เทรเวอร์ ฟรานซิส เล่นได้คุ้มค่าในฐานะนักเตะคนแรกที่มีคว่าตัวถึง 1 ล้านปอนด์หรือไม่?

 

ถ้าให้ตอบสั้นๆก็คงพูดได้ว่าไม่ อย่างไรก็ตาม การที่เขายิงประตูโทนในนัดชิงของศึกยูโรเปี้ยน คัพ ช่วยให้เจ้าป่าเป็นเจ้ายุโรปครั้งแรก หลังจากย้ายมาร่วมทีมไม่นาน ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนที่คุ้มค่ามากๆแล้ว

 

 

คริสเตียน วิเอรี่ – ลาซิโอไปอินเตอร์ มิลาน, 1999 (32 ล้านปอนด์)

 

 

หากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ตอนนั้น หลายคนคงสงสัยไม่น้อยที่ อินเตอร์ มิลาน ยอมจ่ายเงินเป็นสถิติโลกให้กับกองหน้าที่ตระเวนไปเล่นให้กับ 6 สโมสร ในรอบ 6 ปี อย่าง คริสเตียน วิเอรี่ 

 

และถึงแม้ใน 6 ฤดูกาลที่หัวหอกชาวอิตาเลี่ยนลงเล่นให้กับเนรัซชูรี่ เขาจะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์แค่รายการเดียวเท่านั้น (โคปา อิตาเลีย) วิเอรี่ก็ซัดประตูให้กับงูใหญ่มากมายถึง 103 ลูก จากลงเล่นในลีกไป 144 นัด เหนือกว่ากองหน้าทุกคนในตอนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน – ซันเดอร์แลนด์ไปลิเวอร์พูล, 2011 (20 ล้านปอนด์)

 

 

ค่าตัว 20 ล้านปอนด์ที่ เฮนเดอร์สัน ย้ายจาก ซันเดอร์แลนด์ ไปลิเวอร์พูล  ถือว่าเป็นจำนวนที่มากเอาเรื่องอยู่ในปี 2011 แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่หลายคนคงจะลืมไปอยู่บ้าง แถมครั้งหนึ่ง เขาเคยอยู่กับปกเกม FIFA 16 ร่วมกับ ลิโอเนล เมสซี่ มาแล้ว และก็ไม่วายจะถูกชาวเน็ตถล่มอย่างหนักนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

แต่มาในวันนี้ ใครกันคือคนที่ได้ชูถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกในฐานะกัปตันทีม? ไม่ใช่ทั้งเมสซี่ หรือ ฟิล โจนส์ ที่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในอาทิตย์เดียวกับที่กองกลางชาวอังกฤษย้ายไปหงส์แดงด้วยค่าตัวและอายุที่ไล่เลี่ยกัน แต่เป็นนักเตะที่ชื่อว่า จอร์แดน ไบรอัน เฮนเดอร์สัน ต่างหาก ที่ได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้ในฤดูกาลที่ผ่านมา