ใครจะได้เข้าชิง!? :4 อรหันต์พรีเมียร์ลีกสู่เส้นทาง ออลอิงแลนด์ไฟนอล 

 

กลางสัปดาห์นี้ จะเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญอีกครั้งของ 4 สโมสรจากศึก พรีเมียร์ลีก ที่จะต้องลงสนามฟาดแข้งในเกมรอบรองชนะเลิศ เลก 2 ของถ้วยยุโรป ซึ่งมีโอกาสไม่น้อยที่เราจะได้เห็น 4 ทีมจากลีกผู้ดีที่ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศทั้งหมดอีกครั้ง  หลังเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อฤดูกาล 2018/19 

 

ในฤดูกาลนี้ 2 ทีมในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เกมแรกบุกไปเอาชนะ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 2-1 ขณะที่ เชลซี บุกไปเสมอ เรอัล มาดริด 1-1  ขณะที่ถ้วย ยูโรป้า ลีก  แมนเชสเตอร์ ยูไเนต็ด ก็ระเบิดฟอร์มถล่มเอาชนะ โรม่า 6-2  และ อาร์เซน่อล เกมแรกบุกไปพ่าย บีญาร์เรอัล 1-2 นั่นทำให้ทั้ง 4 สโมสรยังได้ลุ้นแบบเต็มตัวในเกมเลกสอง

 

 

 วันนี้เราจะพาได้วิเคราะห์ถึงโอกาสและความเป็นไปได้ว่าใครที่มีลุ้นจะผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศในฤดูกาลนี้กันบ้าง

 

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

 

 

นับตั้งแต่ที่ เป๊ป กวาดิโอล่า เข้ามาคุมทัพ เรือใบสีฟ้า ตั้งแต่ปี 2016 หากจะบอกว่านี่คือฤดูกาลที่เขาได้ลุ้นประสบความสำเร็จมากที่สุด ก็คงจะเป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่มากจนเกินไป เพราะนอกจาก พรีเมียร์ลีก ที่เขาจ่อพาทีมเป็ฯแชมป์สมัยที่ 3 ในรอบ 4 ปี  และ คาราบาว คัพ ที่คว้าแชมป์มาครองได้ 4 สมัยติด  ถ้วยสำคัญที่สุดที่กุนซือชาวสแปนิชรายนี้ยังไม่เคยทำได้กับทีมอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นั้นก็ใกล้ที่จะพาทีมก้าวเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศเต็มที่แล้ว 

 

 

   ผลงานที่บุกไปเอาชนะ เปแอสเช ถึงถิ่น พาร์ค เดสแพรงส์ 2-1 ในเกมแรก เหมาะสมแล้วที่พวกเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ บิ๊กเอียร์ ในฤดูกาลนี้ นี่คือหนึ่งในฤดูกาลที่ต้องบอกว่า เป๊ป กวาดิโอล่า ทำทีมได้ครบเครื่องสุดๆ กุนซือชาวสแปนิช ก้าวข้ามคำที่ว่านักเตะบาดเจ็บแล้วต้องมีปัญหา เมื่อเหล่าบรรดาแข้งสำรองของทีมสามารถทดแทนตัวจริงได้เกือบหมด พร้อมด้วยแผนการเล่นที่มีอย่างหลากหลาย 

 

 

เห็นได้ชัดจากการที่ทีมต้องขาด เซร์คิโอ “กุน” อเกวโร่ ไปแทบทั้งฤดูกาลนี้ ซึ่งแม้ว่าดาวยิงอาร์เจนไตน์ จะหายเจ็บกลับมาแล้ว แต่  ทีมไม่ได้หวังพึ่งเพียงเขา หรือ กาเบรียล เฆซุส  แต่ เป๊ป ได้ปรับระบบให้กองกลางหลายรายขึ้นมาเล่นในตำแหน่งกองหน้าแทน โดยเกมแรกที่บุกไปเอาชนะ เปแอสเช เป๊ป ได้เล่นในระบบ 4-3-3 แบบที่ไม่มีกองหน้าตัวเป้า ด้วยการให้ เควิน เดอ บอรยน์ ยืนในตำแหน่งFalse9 สลับกับ ฟิล โฟเด้น วันเดอร์คิดส์ของทีม   

 

คีย์แมน : เควิน เดอ บรอยน์ 

 

 

อยากจะบอกว่าทุกคนในทีมคือคีย์แมนสำคัญของ เป๊ป กวาดิโอล่า อย่างแท้จริง แต่หากต้องเลือกเพียงหนึ่งคงต้องยกให้ เดอบรอยน์ ที่เปรียบเหมือศูนย์กลางของทีม จากเกมแรกที่เจอ เปแอสเช  โดยเฉพาะในครึ่งหลัง เราจะเห็นได้ว่าดาวเตะเบลเยี่ยมนั้นสามารถพลิกจังหวะเกมจากรับเป็นรุกได้แทบตลอด รวมทั้งจังหวะคิลเลอร์พาสที่ยังเป็นทีเด็ดของเขาอยู่เสมอพร้อมยังยิงประตูตีเสมอให้ทีมได้อีกด้วย  

 

ทัศนะเกมเลกสอง 

เลกแรก รอบตัดเชือก ที่ พาร์ค เดส แพรงส์ แม้ว่าในครึ่งแรกเจ้าบ้านจะได้ครองเกมบุกได้มากกว่า แต่ในครึ่งหลัง เป๊ป แสดงให้เห็นแล้วว่าแท็กติกของเขายอดเยี่ยมแค่ไหน เมื่อปรับแผนจนเข้าที่ก่อนที่ทีมจะบุกไปเอาชนะได้สำเร็จ กุมความได้เปรียบเอาไว้เต็มเปี่ยม ก่อนที่เลกสอง จะมีขึ้นที่ เอติฮัด สเตเดี้ยมในวันอังคารนี้ เชื่อว่าหาก เป๊ป กวาดิโอล่า ยังหาวิธีจัดการกับ 2 แนวรุกอย่าง เนย์มาร์ และ คีเลียน เอ็มบั๊ปเป้ ได้ก็เชื่อว่าโอกาสที่พวกเขาจะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็อยู่แค่เอื้อม  

 

 

โอกาสเข้ารอบชิงชนะเลิศ : 80 เปอร์เซนต์ 

 

 

 

เชลซี 

 

นับตั้งแต่ โธมัส ทูเคิล ก้าวเท้าเข้ามาเป็นกุนซือในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ แทนที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ใครจะเชื่อว่าถึงเวลานี้เขาจะพาทีมได้ลุ้นแชมป์ถึง 2 รายการ และยังเขยิบขึ้นมาอยู่ในอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จด้วย 

 

ในถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ทูเคิล นั้นพาทีมคว่ำ แอตเลติโก มาดริด มาในรอบ 16 ทีม ก่อนจะเอาชนะ เอฟซี ปอร์โต้ ก่อนจะเข้ามาเจอกับแชมป์ 13 สมัยอย่าง เรอัล มาดริด ซึ่งเกมแรกที่ อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ ทัพ สิงห์บูล์ส ก็บุกไปคว่ำประตูอเวย์โกลสุดสำคัญมาได้  แมตช์นี้ ทูเคิล ปรับมาเล่นในระบบ 3-4-3 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฟูลแบ็กทั้งสองฝั่งอย่าง เบน ชิลเวลล์ และ เซซาร์ อัซปิลิกัวเอต้า นั้นเติมเกมขึ้นไปกดดันทัพ ราชันชุดขาว ได้ดีสุดๆ   ขณะที่แดนกลาง การยืนคู่กันของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ จอร์จินโญ่ นั้นทำให้แนวรุกของเจ้าบ้านแทบไปไม่เป้น ที่สำคัญคือทุกคนเล่นแบบเปิดเกมแรกไม่มีหวั่นเกรงแม้จะเป็นทีมเยือนจนได้ประตูนำจาก คริสเตียน พูลิซิช 

 

คีย์แมน : เมสัน เมาท์ 

 

เด็กหนุ่มผู้ได้รับคำครหาว่าเป็นเด็กเส้นของ แฟรงค์ แลมพาร์ด เมื่อต้นฤดูกาล ถึงเวลานี้ ดาวเตะวัย 22 ปีได้พิสูจน์แล้วว่าเขาคือของจริง เมื่อกลายเป็นแข้งที่ทีมขาดไม่ได้ไปแล้วในเวลานี้ เพราะนี่คือคนที่คอยขับเคลื่อนเกมรุกของทัพ “สิงห์บูล์ส” อย่างแท้จริง 

 

นี่คือนักเตะที่มีส่วนร่วมในจังหวะโอเพ่นเพลย์ของทีมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก  ความขยันวิ่งยามไม่มีบอล และทักษะการเพรสซิ่งคู่แข่งเป็นสิ่งที่ทำให้ เมาท์ ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม ขณะที่ความสารพัดประโยชน์ และความสามารถในการขึ้นเกมรุกใส่คู่แข่งก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับทีมเหลือเกิน  

   

ทัศนะเกมเลกสอง 

 

แม้เลกแรกสุดท้ายทัพ “สิงห์บูล์ส” จะไม่ได้ชัยชนะกลับบ้าน แต่เกมที่สองที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ หากพวกเขาเล่นกันอย่างรัดกุมก็มีโอกาสที่จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไม่น้อย  ซึ่งในแนวรุกน่าสนใจว่า ทูเคิล จะปรับให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่เพิ่งระเบิดฟอร์มเหมา 2 ประตูในเกมเอาชนะ ฟูแล่ม ยืนเป็นหัวหอกตัวจริงแทนที่ ติโม แวร์เนอร์ ต่อไปหรือไม่ 

 

โอกาสเข้ารอบชิงชนะเลิศ : 60 เปอร์เซนต์ 

 

 

 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

 

ชัยชนะ 6-2 ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเกมแรกที่ถล่ม “หมาป่า” โรม่า คงจะบอกได้เต็มปากว่าเวลานี้ลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา แทบจะก้าวขาเข้าไปรอในรอบชิงชนะเลิศแล้ว แม้ว่าเกมนี้ทัพ “ปีศาจแดง” จะทำช็อคเมื่อโดนนำไปก่อน 1-2 ในครึ่งแรก แต่หลังจากนั้นลูกทีมของกุนซือชาวนอร์วีเจี้ยน ก็แสดงให้เห็นถึงความดุดัน เมื่อซัดรัว 5 ประตูรวดในครึ่งหลัง ก่อนคว้าชัยไปครองได้สำเร็จ 

 

 

ในเกมนี้ โซลชา ยังคงใช้ระบบ 4-2-3-1 ในแผงแนวรับเวลานี้ทีมก็ได้แบ็กโฟร์มานานแล้วประกอบไปด้วย อารอน วานบิสซาก้า ,แฮร์รี่ แม็กไกวร์ วิคเตอร์  ลินเดอเลิฟ และ ลุค ชอว์ ซึ่งสถิติ 21 นัดหลังสุด   ส่วนแนวรุก ปอล ป็อกบา นั้นได้เขยิบขึ้นมาขับเคลื่อนเกมร่วมกับ บรูโน่ แฟร์นานเดส อีกครั้ง ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อทั้งยิงทั้งจ่ายช่วยทีม และเป็นคีย์แมนสำคัญของทีมในช่วงเวลาชี้ชะตาเช่นนี้ 

 

 

นอกจากนั้นที่จะขาดไม่ได้เลยคือ เอดินสัน คาวานี่ ดาวยิงตัวเก๋า ที่มาท็อปฟอร์มได้ถูกเวลาสุดๆ และไม่ว่าอนาคตของเขาที่โอล์ดแทร็ฟฟอร์ด จะเป็นเช่นไร แต่ถึงเวลานี้คงจะบอกได้ว่า 1 ฤดูกาลที่ผ่านมาเขาคือคนที่เหมาะสมกับการเป็นกองหน้าหมายเลข 1 ของทีมอย่างแท้จริง ผนวกกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด อีกหนึ่งแนวรุกที่ทำสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของ ยูไนเต็ด ที่เล่นในถ้วยยุโรปครบ 50 เกมไปแล้ว 

คีย์แมน :  บรูโน่ แฟร์นานเดส 

 

แน่นอนว่าเป็นใครไปไม่ได้ บรูโน่ แฟร์นานเดส ว่าที่แข้งแห่งปีของสโมสร ผู้เป็นเดอะแบกและทุกสิ่งของทีม  ไม่ว่าจะทำประตู หรือ แอสซิสต์ ที่คอยช่วยพลิกสถานการร์ให้ทีมอยู่เสมอ รวมถึงฟอร์มการเล่นของเขายังสร้างอิทธิพลช่วยให้เพื่อนร่วมทัพ ฟอร์มกระเตื้องกันขึ้นมาด้วย เพระฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจหากเลก 2  ที่โอลิมปิก สเตเดี้ยม เราจะได้เห็นเขายิงประตูหรือแอสซิสต์อีกครั้ง

 

 

ทัศนะเกมเลกสอง 

 

ถึงเวลานี้นับเป็นเวลาเนิ่นนานกว่า 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2017  ที่ทัพ “ปีศาจแดง” ไร้ถ้วยแชมป์ แต่ฤดูกาลนี้เชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะพาทีมประสบความสำเร็จครั้งแรกซักที  และเกมนัดที่สองหากไม่มีฟ้าผ่ากลางสนามเราก็แทบจะไม่เห็นทางที่ โรม่า จะกลับมาสู่แสงสว่างอีกครั้งได้เลย

 

  

 

โอกาสเข้ารอบชิงชนะเลิศ : 90 เปอร์เซนต์ 

 

 

อาร์เซน่อล 

 

จากผลงานในลีกที่ย่ำแย่ และหมดโอกาสลุ้นไปเตะถ้วยยุโรปในฤดูกาลหน้าแทบแน่นอนแล้วไม่ว่าจะเป็นถ้วยเล็กหรือถ้วยใหญ่ เกมวันพฤหัสบดีนี้ จึงเป็นเกมชี้ชะตาอนาคตของทัพ “ไอ้ปืนใหญ่” ในฤดูกาลนี้อย่างแท้จริง

 

เกมเลกแรกที่  เอสตาดิโอ เดลา เซรามิกา ที่บุกไปพ่าย “เรือดำน้ำสีเหลือง” บีญาร์เรอัล ต้องบอกว่ารูปเกมตลอด 90 นาที ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ไม่ได้เล่นได้เหนือกว่าเจ้าบ้านเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะต้องเหลือผู้เล่น 10 คน เมื่อ ดานี่ เซบาญอส โดนใบเหลืองที่สองไล่ออกจากสนาม ยังโชคดีที่ได้ นิโกลาส เปเป้ มายิงจุดโทษ ทำให้เกมนัดที่ 2 ยังคงมีความหมาย เพราะหาก “ไอ้ปืนใหญ่” เอาชนะได้ 1-0 พวกเขาจะเป็นฝ่ายผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศทันที 

 

 

คีย์แมน : บูกาโย่ ซาก้า 

 

  ดาวเตะวัย 19 ปียกระดับกลายเป็นนักเตะที่ทีมต้องแบกความหวังเอาไว้ในฤดูกาลนี้อย่างแท้จริง หลังยิงไป 7 ประตู 7 แอสซิสต์ ในฤดูกาลนี้ ซึ่งเกมแรกเจ้าตัวก็เป็นคนที่ทำให้ทีมได้ลูกจุดโทษด้วย เชื่อว่าเกมนัดที่สองหากดาวเตะอังกฤษรายนี้ระเบิดฟอร์มเก่งได้เหมือนที่ผ่านมา ก็มีโอกาสที่ทีมจะพลิกสถานการณ์ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้เช่นกัน 

 

ทัศนะเกมเลกสอง 

 

 เกมเลกที่สอง นักเตะคีย์แมนอย่าง ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ,คีแรน เทียร์นีย์ รวมไปถึง อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ จะหายเจ็บกลับมาช่วยทีมได้อีกครั้ง นั่นทำให้ เอมิล สมิธ โรว์ หรือ มาร์ติน โอเดการ์ด 2 ดาวรุ่งที่โชว์ฟอร์มไม่ออกในเกมนัดแรก ต้องถูกดร็อปไป ไม่คนใดก็คนหนึ่ง  นั่นเชื่อว่าเกมนี้ อาร์เตต้า ต้องสั่งลูกทีมแบบมีเท่าไหร่ใส่ให้หมด แม้ว่า อูไน เอเมรี่ กุนซือทีมเยือนจะรู้จักทีมชุดนี้ดีแค่ไหนก็ตาม ทำให้รูปเกมจะออกมาบีบหัวใจแฟนบอล “ไอ้ปืนใหญ่” สุดๆแน่นอน 

 

โอกาสเข้ารอบชิงชนะเลิศ : 50 เปอร์เซนต์  

 

 

                                                              DaboyG