ใครรุ่ง-ใครร่วงกับบทบาทใหม่ของ 10 แข้งดังพรีเมียร์ลีก

 

ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างในปัจจุบันทำให้นักฟุตบอลหลายคนจำเป็นต้องโดนโยกไปเล่นตำแหน่งที่ไม่คุ้นเคยอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บของผู้เล่นในทีม, หาช่องทางในการพัฒนาทีม, หรือพัฒนานักเตะเป็นรายบุคคลไปก็ดี

 

ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ มีนักเตะไม่น้อยเลยที่ถูกทดสอบกับบทบาทใหม่ บางคนโชคดีได้ค้นพบตำแหน่งใหม่ของตัวเอง ขณะที่บางคนก็จัดการกับหน้าที่ตรงนั้นได้ไม่ดีเท่ากับตำแหน่งเก่า

 

นี่คือ 10 แข้งดังจากแดนผู้ดีที่ UFA ARENA เห็นว่าพวกเขาโดนจับไปเล่นตำแหน่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย แต่ใครจะรุ่ง ใครจะร่วง เชิญติดตามได้เลย

 

 

เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (เชลซี)

 

 

เปลี่ยนจาก : กองกลางตัวรับ เป็น กองกลางทั่วไป

ผลลัพธ์ : ร่วง

 

การมาถึงของจอร์จินโญ่จากนาโปลี ทำให้เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือสิงห์บลู จับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ใครๆหลายคนมองว่าเป็นหนึ่งกองกลางตัวรับที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ไปเล่นกองกลางด้านขวา และให้แข้งหน้าใหม่รับสัมประทานตำแหน่งเก่าของก็องเต้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

จริงๆแข้งชาวฝรั่งเศสก็ไม่ทำผลงานแย่อะไรหรอก หนำซ้ำเขายังยิงประตูในลีกได้มากกว่าเดิมด้วย แต่การขาดหายไปของกองกลางแชมป์โลกในตำแหน่งกลางรับทำให้เรารู้สึกว่า จอร์จินโญ่ไม่ใช่นักเตะที่เชี่ยวชาญในด้านเกมรับเลยจริงๆ

 

 

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล)

 

 

เปลี่ยนจาก : ปีกขวา เป็น กองหน้า

ผลลัพธ์ : รุ่ง

 

หลังจากยิงได้เป็นกอบเป็นกำในฤดูกาลที่แล้ว เจอร์เก้น คล็อปป์กุนซือหงส์แดงได้ทำการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่น โดยเปลี่ยนจาก 3 แนวรุกมาเป็นหน้าตัวเดียว โดยปรับให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มาเล่นเป็นหน้าเป้าดู และขยับโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ให้ยืนต่ำกว่าเดิมหน่อย

 

ซาลาห์ค่อยๆทำผลงานให้ทีมได้อย่างช้าๆ ก่อนจะมาค้นหาฟอร์มของตัวเองได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา ซึ่งตอนนี้ดาวเตะแดนมัมี่ซัดไปแล้ว 16 ประตูในพรีเมียร์ลีก ขึ้นนำเป็นดาวซัลโวประจำลีกอยู่ในขณะนี้

 

 

เชอร์ดาน ชากีรี่ (ลิเวอร์พูล)

 

 

เปลี่ยนจาก : ปีกขวา เป็น กองกลางตัวรุก

ผลลัพธ์ : รุ่ง

 

เชอร์ดาน ชากีรี่ถูกคาดหมายว่าจะมาเป็นกำลังเสริมให้ 3 ตัวรุกของหงส์แดง แต่เจ้าตัวกลับโดนเด่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกมากกว่า ซึ่งต้องยกเครดิตให้เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ของทีมที่มองเห็นความสามารถของอดีตดาวเตะสโต๊คคนนี้

 

แข้งชาวสวิสพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมได้ โดยยิงไป 6 ลูกจาก 20 นัดในลีก การเชื่อมของเขากับกองกลางและกองหน้าในทีมเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ เช่นในเกมที่หงส์แดงทุบแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไป 3-1 ที่แอนฟิลด์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีเลยล่ะ

 

 

 

เนมานย่า มาติช (แมนฯยูไนเต็ด)

 

 

เปลี่ยนจาก : กองกลางตัวรับ เป็น กองหลัง

ผลลัพธ์ : ร่วง

 

โชเซ่ มูรินโญ่ได้โยกเนมานย่า มาติชไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็ค หลังปีศาจแดงประสบปัญหานแนวรับบาดเจ็บยกชุด ซึ่งเป็นช่วงไม่กีสัปดาห์ก่อนหน้าที่เขาจะโดนปลดออกจากทีมในเดือนธันวาคม และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การสลับตำแหน่งจะไม่ได้ผล และตัวมาติชก็คงแฮปปี้กว่าถ้าไปเล่นเป็นกองกลางเหมือนเดิม

 

หลังจากเกมที่เสมอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-2 ที่สนามเซนต์ แมรี่ ซึ่งมีแข้งชาวเซิร์บเป็นตัวหลักในแนวรับ มูรินโญ่ได้กล่าวว่า “ผมอยากจะมีเนมานย่า วิดิช ในทีมนะ แต่ไม่มีหรอก ผมมีแต่ เนมานย่า มาติช และเขาก็เป็นแค่กองกลางเท่านั้น” เรื่องนั้นใครๆก็รู้อยู่แล้วล่ะ โชเซ่

 

 

อันเดร์ เอร์เรร่า (แมนฯยูไนเต็ด)

 

 

เปลี่ยนจาก : กองกลาง เป็น กองหลัง

ผลลัพธ์ : ร่วง

 

มูรินโญ่ไม่ได้มีข้ออ้างอะไรเมื่อเขาเลือกใช้อันเดร์ เอร์เรร่าเป็นกองหลังด้านขวาในตำแหน่งหลังสาม ตอนพบกับสเปอร์เมื่อเดือนสิงหาคม ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งคู่จะรู้ดีว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่แผนมันไม่เป็นไปตามที่วางไว้ หลังโดนไก่เดือยทองอัดคาบ้านไป 3 เม็ดในครึ่งหลัง

 

ถ้าจะพูดให้แฟร์ๆหน่อย สโมสรก็มีส่วนผิดที่ไม่สามารถหากองหลังมาให้กุนซือชาวโปรตุกีสได้ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่หลังจากที่มูรินโญ่ลาทีมไป ตอนนี้ทั้ง มาติชและ เอร์เรร่าได้กลับไปเล่นในตำแหน่งที่พวกเขาถนัดเรียบร้อยแล้ว

 

 

พอล ป็อกบา (แมนฯยูไนเต็ด)

 

 

เปลี่ยนจาก : กองกลาง เป็น กองกลางตัวรุก

ผลลัพธ์ : รุ่ง

 

ตั้งแต่ป็อกบาย้ายกลับมาสวมชุดปีศาจแดงก็มีเสียงเรียกร้องให้เขาดันขึ้นไปเล่นเกมรุกและมีอิสระมากกว่านี้หน่อย ซึ่งโอเล กุนนาร์ โซลชา คือคนที่ทำเช่นนั้น โดยวางมาติชและเอร์เรร่ายืนคู่กันในแดนกลาง และปล่อยให้ป็อกบาขึ้นลงได้ตามอิสระ

 

นั่นส่งผลให้ กองกลางวัย 25 ปีกลับมาเชิดฉายอีกครั้ง เช่นเดียวกับเพื่อนๆร่วมทีมยูไนเต็ด ซึ่งอะไรๆก็ดูเป็นใจเมื่อโซลชาเข้ามาคุมทีม โดยก่อนหน้านี้ป็อกบาสร้างโอกาส 1.43 ครั้งต่อเกมในลีกภายใต้การคุมทีมของมูรินโญ่ แต่ตอนนี้เขากลับทำได้ถึง 2.13 ครั้งต่อเกมนับตั้งแต่กุนซือชาวนอร์เวย์เข้ามา

 

 

เอเด็น อาซาร์ (เชลซี)

 

 

เปลี่ยนจาก : ปีกซ้าย เป็น กองหน้า

ผลลัพธ์ : ร่วง

 

ในที่สุดเอเด็น อาซาร์ก็ได้กลับไปเล่นในตำแหน่งปกติของเขาซักที หลังเชลซีคว้าตัวกอนซาโล่ อิกวาอิน จากยูเวนตุสมาแบบยืมตัว หลังต้องทนเล่นในตำแหน่ง ฟอลส์ ไนน์ หรือกองหน้าตัวหลอก มานานหลายอาทิตย์

 

ด้วยฟอร์มที่ย่ำแย่ของอัลบาโร่ โมราต้า และโอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ทำให้ซาร์รี่จำเป็นต้องโยกดาวเตะชาวเบลเยี่ยมมายืนในแดนหน้าเพื่อโอกาสในการทำประตูที่มากขึ้น ถึงแม้จะดูดีกว่ากองหน้าธรรมชาติทั้งคู่ในทีม แต่ฟอร์มโดยรวม เขาทำได้ดีกว่านี้มากยามเล่นอยู่ในริมเส้นฝั่งขวา

 

 

แฮร์รี่ เคน (สเปอร์)

 

 

เปลี่ยนจาก : กองหน้า เป็น แข้งเบอร์ 10

ผลลัพธ์ : รุ่ง

 

แฮร์รี่ เคน ไม่ใช่กองหน้าดั้งเดิมเบอร์ 9 แบบที่ยืนให้แดนหน้าและคอยบังบอลเพื่อให้เพื่อนร่วมทีมเติมขึ้นมาเล่น และในฤดูกาลนี้เขาลงมาสนับสนุนคนอื่นๆอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนั่นทำให้เรามองว่าเขาเป็นเหมือนนักเตะหมายเลข 10 มากกว่าเป็นกองหน้าซะอีก

 

ด้วยทักษะการจบสกอร์ของซอน เฮือง มิน และ ลูคัส มูร่า ที่ยอดเยี่ยม แถมสามารถขยับขึ้นมาเล่นเป็นกองหน้าได้ ช่วยลดภาระในการทำประตูของเคนได้พอสมควร แต่ถึงแม้แข้งชาวอังกฤษจะสร้างโอกาสต่อเกมมากว่าฤดูกาลที่แล้ว เขาก็ยังทำประตูอยู่ต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง โดยปัจจุบันซัดไป 14 ลูกในพรีเมียร์ลีก

 

 

มาร์คัส แรชฟอร์ด (แมนฯยูไนเต็ด)

 

 

เปลี่ยนจาก : ปีก เป็น กองหน้า

ผลลัพธ์ : รุ่ง

 

หากพูดกองหน้าแดนผู้ดีที่ถูกเปลี่ยนตำแหน่งในฤดูกาลนี้ แรชฟอร์ดดูจะเป็นอีกคนที่ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ หลังจากที่เคน ขยับลงไปเล่นต่ำลงกว่าเดิม ซึ่งช่วยให้เขามีโอกาสทำประตูมากกว่าเก่าเช่นในเกมยูฟ่า เนชั่น ลีกที่เอาชนะสเปนได้ 3-2 ในเดือนพฤศจิกายน

 

ส่วนในสโมสรนั้น ปกติแรชฟอร์ดมักจะเล่นในตำแหน่งปีกในยุคของมูรินโญ่ แต่ในยุคของโซลชา เขาถูกดันไปเล่นเป็นกองหน้า และมันก็เห็นผลลัพธ์ทันที แข้งวัย 21 ปียิงได้อย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงนัดล่าสุดที่ชนะเลสเตอร์ไป 1-0 ด้วย

 

 

คริสเตียน อีริคเซ่น (สเปอร์)

 

 

เปลี่ยนจาก : กองกลางตัวรุก เป็น กองกลาง

ผลลัพธ์ : รุ่ง

 

เมื่อเคนถูกถอยลงไปเล่นต่ำลง ส่งผลให้สเปอร์ต้องเปลี่ยนรูปแบบใหม่ในการวางนักเตะ และทำให้คริสเตียน อีริคเซ่นต้องไปยืนเป็นกองกลางทางซ้าย โดยประสานงานกับเดเล่ อัลลี่ ในแดนกลาง ร่วมไปถึงเคนและซอนในแนวรุกด้วย

 

เห็นได้ชัดว่าการโยกอีริคเซ่นลงไปต่ำกว่าปกติทำให้เกมรุกของสเปอร์ดูอันตรายน้อยลง อย่างไรก็ตามดาวเตะชาวเดนส์ก็เป็นแข้งคนสำคัญประจำทีมไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเขาจะเป็นคนออกบอลมาจากแนวลึก บางครั้งก็จู่โจมคู่แข่งจากการวางบอลในแดนของตัวเองได้เลย