ใช้เงินจนดิ่งลงเหว! 7 สโมสรดังโดนวิกฤตถังแตกเล่นงาน

เป็นที่รู้กันดีว่าอำนาจของเงินมีอิทธิพลอย่างมากในหลายๆวงการซึ่งนั่นก็รวมไปถึงโลกของลูกหนังด้วย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหลายสโมสรเริ่มมีการใช้จ่ายเงินมากขึ้นเพื่อเป็นหนทางที่จะพาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จให้ได้ อย่างที่เราเห็นทีมแบบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ทำอยู่ในปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตามในอดีตมีหลายทีมที่เคยลงทุนใช้เงินก้อนโตเพื่อหวังเป็นทางลัดไปสู่ความสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่กลับต้องเจอปัญหาทางการเงินที่พวกเขาก่อขึ้นมาเองเล่นงาน จนทำเอาถึงกับดิ่งลงเหว บ้างก็ตกต่ำถึงขีดสุดขนาดตั้งยุบทีมเลยก็เคยมีมาแล้ว

 

โดยวันนี้ UFA ARENA จะพาไปดูกันว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีสโมสรไหนกันบ้างที่โดนวิกฤตทางการเงินเล่นงาน หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า “ถังแตก” จนทำให้ห้ทีมเหล่านั้นต้องตกอยู่สถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆมาแล้วบ้าง

 

ปาร์ม่า

อดีตยักษ์ใหญ่ชื่อดังสโมสรหนึ่งในแดนมักกะโรนี่ช่วงต้นยุค 2000 อย่าง ปาร์ม่า เชื่อว่าไม่มีแฟนบอลคนไหนไม่รู้จักทีมนี้แน่นอน โดนเฉพาะช่วงเวลาที่พวกเขามีนักเตะดังๆมากมายอยู่ในทีม ทั้ง จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ลิลิยอง ตูราม, ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ ฮวน เซบาสเตียน ทว่าปัญหาทางการเงินเมื่อไม่นานมานี้เกือบทำให้พวกเขาเกือบหายไปจากวงการลูกหนัง เหลือไว้เพียงชื่อเสียงในอดีต

 

โดยปัญหาดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1996 – 2004 ซึ่งมี สเตฟาโน่ ตานซี่ เป็นประธานสโมสรอยู่ในขณะนั้น พร้อมกับได้รับเงินทุนจาก พาร์มาลัต บริษัทเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเข้ามามีบทบาทช่วยให้ ปาร์ม่า สามารถดึงแข้งฝีเท้าดีเข้ามาสู่ทีมได้หลายต่อหลายคน จนทำให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับบิ๊กของอิตาลีในเวลานั้นได้เลยทีเดียว

 

อย่างไรก็ตามในปี 2004 ภายหลังจากที่ พาร์มาลัต เริ่มประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ส่งผลให้ “จัลโล่บลู” ได้รับผลกระทบไปด้วยเต็มๆ และประกาศเป็นทีมล้มละลายในปี 2015 ซึ่งทำให้พวกเขาถูกปรับตกชั้นไปเล่นลีกต่ำสุดยัง เซเรีย ดี หรือ ลีกสมัครเล่นของอิตาลีนั่นเอง

 

ปัจจุบันภายใต้ชื่อทีมใหม่อย่าง ปาร์ม่า กัลโช่ 1913 พวกเขาใช้ถึงเวลา 4 ปี สำหรับไต่เต้าจากลีกดิวิชั่น 4 จนสามารถขึ้นกลับมาเล่นบนลีกสูงสุด กัลโช่ เซเรีย อา ได้สำเร็จ ในซีซั่นนี้

 

ฟิออเรนติน่า

 

อีกหนึ่งทีมดังในอิตาลีที่เคยถูกปัญหาทางการเงินเล่นงานจนพวกเขาถึงกับต้องยุบสโมสรไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งหากย้อนไปในช่วงต้นยุค 2000 ทีม “ม่วงมหากาฬ” ที่มีนักเตะระดับซุเปอร์สตาร์อย่าง รุย คอสต้า และ กาเบรียล บาติสตูต้า ไม่ใช่ทีมเดียวกับที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน

 

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากอดีตประธานสโมสรช่วงปี 1993 – 2002 อย่าง วิคตอริโอ เช็คคี่ กอรี่ ที่ถูกจับจากคดีทางการเงินซึ่งถือเป็นเรื่องราวใหญ่โตในอิตาลี ในปี 2002 และมันส่งผลกระทบโดยตรงกับ ฟิออเรนติน่า ทันที เมื่อพวกเขาถูกตัดสินเป็นทีมล้มละลาย จนทำให้ต้องประกาศยุบทีมในเวลาต่อมา

 

อย่างไรก็ดี โดมินิซี่ เลโอนาร์โด้ ซึ่งดำรงนายกเทศมนตรีของเมือง ฟลอเรนซ์ และ ดิเอโก้ เดลลา วัลเล่ ต้องการที่จะรักษาสโมสรอันเป็นที่รักของชาวเมืองนี้ไว้ จึงตัดสินใจก่อตั้งทีมขึ้นมาให้ภายใต้ชื่อ ฟิออเรนติน่า 1926 โฟลเรนเตีย ก่อนที่จะกลับไปใช้ เอเอฟซี ฟิออเรนติน่า ตามเดิมในอีก 1 ปีให้หลังพร้อมกับไต่เต้าจนกลับขึ้นมาเป็นทีมแกร่งในอิตาลีได้อีกครั้งจนกระทั้งถึงปัจจุบัน

 

กลาสโกว์ เรนเจอร์ส

 

กลาสโกว์ เรนเจอร์ส คือ หนึ่งในทีมที่แฟนบอลบ้านเราน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทว่ายอดทีมแห่งสก๊อตแลนด์เคยผ่านจุดที่ตกต่ำสุดขีดมาแล้วในอดีตจากปัญหาทางการเงิน ซึ่งมันส่งผลให้เขาต้องกับไปเริ่มต้นกันใหม่ในลีกระดับล่างสุดของประเทศเลยทีเดียว

 

ปัญหาดังกล่าวต้องย้อนกลับไปเมื่อราว 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก และมีส่วนแบ่งจากการถ่ายทอดเป็นตัวเลขจำนวนเงินมหาศาลและนั่นยังทำให้ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีมีตัวเลขของค่าเหนื่อยนักเตะที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

 

ถึงกระนั้น เรนเจอร์ ที่ต้องการจะดึงดูดแฟนบอลให้เข้ามาชมเกมของพวกเขามากขึ้น จำเป็นต้องมองหาแข้งจากอังกฤษไปร่วมทีมถึงแม้ว่าจะสู้ในเรื่องของค่าเหนื่อยไม่ไหวก็ตาม ส่งผลให้พวกเขาตัดสินใจทำปลอมเอกสารค่าตัวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งหากพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือการโกงภาษีนั่นเอง

 

จนในท้ายที่สุดพวกเขาถูกตัดสินโทษและประกาศเป็นทีมล้มละลาย รวมไปถึงปรับตกชั้นไปเล่นในลีกระดับดิวิชั่น 4 ของ สก็อตแลนด์ ในซีซั่นถัดมา พร้อมยึดเกียรติประวัติต่างๆที่ทางสโมสรได้รับตลอดเวลา 10 ปี ที่ทำการปลอมเอกสารดังกล่าว แถมพวกบรรดาแข้งตัวหลักก็พากันย้ายออกไปจนเหลือแต่นักเตะดาวรุ่งของสโมสร พร้อมกับเปลี่ยนชื่อใหม่จาก กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เป็น “เรนเจอร์ส เอฟซี”

 

อย่างไรก็ตามพวกเขาใช้เวลานานถึง 4 ซีซั่น สำหรับการหวนคืนกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดได่สำเร็จเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน เรนเจอร์ส ภายใต้การคุมทีมของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตตำนาน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กำลังมุ่งมั่นกลับมาเป็นทีมชั้นแนวหน้าของลีกสก็อตอีกครั้งให้ได้ หลังต้องเฝ้าดูคู่แค้น กลาสโกว์ เชลติด ครองความยิ่งใหญ่มานานเกินครึ่งทศวรรต

 

วิมเบิลดัน

 

อดีตสโมสรที่เรียกได้ว่าโด่งดังที่สุดทีมหนึ่งบนเกาะอังกฤษช่วงยุค 90s อย่าง วิมเบิลดัน ปัจจุบันถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของแฟนบอลเป็นที่เรียบร้อยและเหลือไว้เพียงเรื่องราวที่เอาไว้เล่าให้คนรุ่นหลังๆได้ฟังเพียงเท่านั้น

 

โดยจุดเริ่มต้นปัญหาทั้งหมดของ “เครซี่ แก๊งค์” เกิดขึ้นนับตั้งแต่ แซม แฮมมัม อดีตประธานสโมสรคนเก่งในเวลานั้นตัดสินใจขายทีมให้กับกลุ่มทุนรายใหม่ ซึ่งเข้ามาบริหารทีมได้ไม่ดีพอจนทำให้พวกเขาต้องตกชั้นจากลีกสูงสุดครั้งแรกรอบ 14 ปี ในซีซั่น 1999 – 2000

 

จากนั้นปัญหาทางการเงินของพวกเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พวกเขาตัดสินใจแบบผิดพลาดใหญ่หลวง ในการย้ายรังเหย้าของตัวเองไปอยู่อีกที่หนึ่งจนทำเอาแฟนบอลไม่พอใจอย่างหนัก กระทั่งปี 2002 บอร์ดบริหารของ วิมเบิลดัน ที่กำลังจะประสบปัญหาล้มละลายได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อสโมสรที่ใช้มานานถึง 111 ปี เป็น มิลตัน คีย์น ดอนส์ อย่างไรก็ตามได้มีแฟนบอลบางส่วนออกมาตั้งสโมสรใหม่ขึ้นมาและได้ใช้ชื่อว่า เอเอฟซี วิมเบิลดัน จนถึงปัจจุบัน

 

พอร์ทสมัธ

 

คงไม่มีใครคาดคิดว่าสโมสรที่เคยแข็งแกร่งมากที่สุดทีมหนึ่งใน พรีเมยร์ลีก อังกฤษ ช่วงยุค 2000 และเคยไปถึงจุดสูงสุดด้วยการคว้าถ้วยฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ ในปี 2009 จะโดนวิกฤตทางการเงินเล่นงานจนทำให้พวกเขาตกชั้นไปจากลีกสูงสุดเมืองผู้ดีและยังหาทางกลับขึ้นมาไม่ได้เลยจนถึงปัจจุบัน

 

ความบรรลัยทั้งหมดเกิดขึ้นจากที่พวกเขาวางแผนการเงินไม่ดีพอโดยเฉพาะการกู้เงินมาใช้จนทำให้เป็นหนี้ก้อนโตจำนวน 135 ล้านปอนด์ โดยในซีซั่น 2009 – 2010 “เดอะ ปอมปีย์” ถูกเทคโอเวอร์ถึง 4 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายหนีก้อนนี้ได้ จนทำให้ถูกตัดถึง 10 แต้มใน พรีเมียร์ลีก และส่งผลให้พวกเขาตกชั้นในท้ายที่สุด

 

ปัจจุบันวันเวลาผ่านไปนานนับ 10 ปี พอร์ทสมัธ แทบจะหายไปจากชื่อที่คุ้นเคยของแฟนบอลในบ้านเราและกำลังโลดแล่นอยู่ใน ลีกวัน หรือ ดิวิชั่น 3 ของเมืองผู้ดี ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนพวกเขาจะได้กลับมาสร้างสีสันบนลีกสูงสุดอีกครั้ง เหมือนที่พวกเขาเคยทำไว้ในอดีตที่ผ่านมา

 

ลีดส์ ยูไนเต็ด

 

อีกหนึ่งทีมที่เรียกได้ว่าสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ไว้บนเกาะอังกฤษในช่วงต้นยุค 2000 และอุดมไปด้วยแข้งฝีเท้าดีทั้ง แฮร์รี่ คีลล์ , ลี โบว์เยอร์ , มาร์ค วิดูก้า รวมไปถึง อลัน สมิธ ซึ่งทีมนั่นก็คือ ลีดส์ ยูไนเต็ด อดีตสโมสรที่เคยโลดแล่นไปไกลถึงเวทีฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาแล้ว ก่อนที่พวกเขาต้องเจอกับจุดจบที่น่าเศร้าไม่แพ้กับ พอร์ทสมัธ เลยก็ว่าได้

 

จุดเริ่มต้นปัญหาทั้งหมดของทีม “ยูงทอง” คือการที่พวกเขาใช้เงินก้อนโตในการดึงตัวนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาสู่ทีมพร้อมกับประเคนค่าเหนื่อยจำนวนมหาศาลให้ด้วย ทว่าผลงานของพวกเขากลับสวนทางกับการลงทุน โดยเฉพาะการที่พวกเขาไม่ได้ไปเล่นในถ้วยฟุตบอลยุโรปทำให้สโมสรขาดทุนอย่างหนัก จนกรทั้งจำเป็นต้องขายซุปเปอร์สตาร์หลายคนออกจากทีมเพื่อใช้หนี้

 

อย่างไรก็ตามจุดจบของพวกเขาบนลีกสูงสุดของอังกฤษก็มาถึงในปี 2004 เมื่อ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่กำลังดิ่งลงเหวต่อเนื่องจนทำให้พวกเขาตกชั้นไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ชิพในท้ายที่สุด เป็นฉากความโด่งดังทั้งหมดที่สร้างไว้ในอดีต จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษพวกเขาก็ยังหาทางกลับมาเล่นบน พรีเมียร์ลีก ไม่ได้อีกเลย

 

เอซี มิลาน

 

เชื่อว่าแฟนบอล “ปีศาจแดงดำ” ที่กำลังหดหู่สุดๆกับผลงานของทีมตลอดหลายปีที่ผ่านมาคงตั้งความหวังไว้สูงพอสมควรภายหลังจากที่ได้รู้ข่าวว่า ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ตัดสินขายสโมสรที่เขาบริหารงานมาเกือบ 31 ปี ให้กับ ชิโน่ ยุโรป สปอร์ต อินเวสต์เมนต์ ลักซ์ ที่นำโดย หลี่ หย่งฮง นักธุรกิจชาวจีน เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรแห่งนี้แทนเมื่อปี 2017

 

อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาสื่อท้องถิ่นในอิตาลีได้รายงานว่า หลี่ หย่งฮง ใช้เงินของตัวเองแค่เพียง 100 ล้านยูโรเท่านั้น ในการเข้ามาเทคโอเวอร์ “รอสโซเนรี่” จากมูลค่ารวมทั้งหมด 740 ล้านยูโร โดยจำนวนเงินที่เหลือเจ้าตัวได้ไปกู้ยืมมาสถาบันการเงินและไม่สามารถที่จะหามาใช้หนี้ได้ทัน จนทำให้เขากลายเป็นบุคคลล้มละลาย

 

กระทั้งกลางปี 2018 หลี่ หย่งฮง ได้ไปกู้เงินจาก เอลเลียต เมเนจเมนท์ มาจ่ายหนี้ให้กับ เอซี มิลาน อีกครั้งในจำนวนเงิน 32 ล้านยูโรและทำให้หนี้รวมของเขากับกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาสูงถึง 300 ยูโร ก่อนท้ายที่สุด เอลเลียต เมเนจเมนท์ ได้ใช้ข้อบังคับตามกฏหมายเข้ายึดสิทธิ์การบริหารทีม “ปีศาจแดง” ในท้ายที่สุด

 

ปัจจุบันภายใต้การบริหารงานของกลุ่มทุนชาวอเมริกัน เอซี มิลาน สามารถใช้เงินจำนวนมากในการเสริมทัพดึงตัวนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาสู่ทีมได้หลายต่อหลายคนและกำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เชื่อว่าอีกไม่นานพวกเขาน่าจะกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่บนแดนมักกะโรนีได้อีกครั้งแน่นอน