ไปต่ออย่างไร! อัพเดตสถานการณ์ฝ่าวิกฤตไวรัส  5ลีกใหญ่ยุโรป

 

หลังจากเกิดปัญหาไวรัส COVID-19ระบาดไปทั่วโลกจนวงการฟุตบอลต้องหยุดชะงักมาตั้งแต่เดือนมีนาคม จนถึงปัจจุบันสถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รัฐบาลของหลายประเทศเริ่มมีการผ่อนปรนล็อคดาวน์ นั่นทำให้โลกลูกหนังเริ่มมีหวังกลับมาลงสนามกันอีกครั้ง เพื่อทำให้ฤดูกาล 2019/20 จบลงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งแต่ละลีกก็ได้มีแนวทาง และมาตรการที่แตกต่างกันออกไป

 

วันนี้UFA ARENA จะพาไปอัพเดตมาตรการและแนวทางของ 5 ลีกใหญ่ยุโรป ทั้งลีกเอิง , ลาลีกา ,บุนเดสลีกา , กัลโช่ เซเรียอา และพรีเมียร์ลีก ว่าจะมีความหวังในการกลับมาลงสนามต่อมากน้อยแค่ไหนกัน

 

ลีกเอิง 

 

 

นับเป็นลีกแรกของ 5ลีกใหญ่ยุโรปที่ตัดสินใจตัดจบฤดูกาลซึ่งถ้านับทั่วยุโรปพวกเขาก็เป็นลีกที่สองต่อจาก เอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ที่ประกาศจบไปก่อนหน้า แบบไม่มีแชมป์ ไม่มีตกชั้น แต่ในส่วนของลีกเอิงที่ถูกตัดจบแต่พวกเขามีการมอบแชมป์ให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง รวมถึงมีทีมที่ตกชั้น เลื่อนชั้น และทีมที่ได้ไปฟุตบอลยุโรปในฤดูกาลหน้าโดยยึดตามตารางคะแนนปัจจุบัน แม้จะมีทางออกที่ชัดเจนและได้ตัดสินไปแล้ว 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อมีทีมที่ได้ประโยชน์ ก็มีทีมที่เสียประโยชน์และออกมาค้านอย่าง โอลิมปิค ลียง ซึ่งพลาดตั๋วไปเล่นฟุตบอลยุโรปครั้งแรกในรอบ 13ปี จากการจบอันดับ 7 มีคะแนนห่างจากนีชทีมอันดับ 6ที่อยู่ในพื้นที่ยุโรปเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น โดยพวกเขาเตรียมยื่นฟ้องศาลดำเนินคดีทางกฏหมายต่อสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศสต่อไป ในขณะที่สถานการณ์การติดเชื่อของฝรั่งเศสอยู่ที่ 168,693ราย เสียชีวิต 24,895ราย

 

ลาลีกา

 

 

นับว่าเป็นอีกลีกที่ได้รับการผ่อนคลายจากรัฐบาลแล้ว จากการที่ทาง อิเรเน่ โลซาโน่ เลขาธิการประจำกระทรวงกีฬาของประเทศสเปน และประธานสภากีฬาระดับสูงของสเปน ได้ออกมาอนุญาตให้ทีมในศึกลาลีกา รวมถึงลีกต่างต่างๆในประเทศ กลับมาลงฝึกซ้อมได้แล้วตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมเป็นต้นไป แต่ยังไม่มีการประกาศออกมาว่าจะสามารถกลับมาลงเตะกันในวันไหนแต่คาดว่าจะกลับมาลงเตะกันได้อีกครั้งในช่วงต้นเดือน มิถุนายนนี้ สำหรับสเปน มียอดติดเชื้อสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก 247,122 คน และเสียชีวิตไป 25,264 คน 

 

กัลโช่ เซเรียอา

 

 

หลังจากที่บรรดา 20ทีมในเซเรียอา มีการประชุมกัน ผ่านทางวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 1 พ.ค. ซึ่งผลออกมาเป็น 18 ต่อ2 ในประเด็นที่ต้องการเตะฤดูกาลนี้ให้จบสมบูรณ์ และได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลให้กลับมาซ้อมได้แล้ว ซึ่งก็มีทีมที่เริ่มออกประกาศเรียกตัวนักเตะกลับมาซ้อมอย่าง โรม่า ที่จะลงซ้อมในวันที่ 18 พฤษภาคมนี้ 

 

ส่วนทีมในภูมิภาคเอมีเลีย-โรมัญญา ทางตอนเหนือของอิตาลี ก็ได้รับอนุญาตให้กลับมาซ้อม และได้มีการเรียกนักเตะกลับมาแล้วก็มีทั้ง ซาสซูโอโล่ , สปาล, โบโลญญา, ปาร์มา ด้านทีมใหญ่อย่างยูเวนตุสจะมีการเรียกตัวนักเตะต่างชาติที่กลับไปพักที่บ้านเกิดกลับมากักตัวก่อน 14วัน ก่อนจะมีการซ้อมอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามการซ้อมทั้งหมดจะเป็นการซ้อมเดี่ยวไปจนถึงวันที่ 17พฤษภาคม จึงจะได้รับอนุญาตให้เริ่มซ้อมเป็นกลุ่มได้อีกครั้ง

 

บุนเดสลีกา 

 

 

นับเป็นลีกที่ใกล้จะได้กลับมาเตะมากที่สุดแล้ว จากตอนแรกที่กำหนดกลับมาเตะกันในวันที่ 9พฤษภาคม แต่ทางรัฐบาลเยอรมันยังคงไม่อนุมัติ ทำให้ต้องรอไปก่อนอย่างน้อย 1สัปดาห์ ซึ่งจะมีการตัดสินใจกันอีกครั้งในวันที่ 6พฤษภาคมนี้ อย่างไรก็ตามบุนเดสลีกาถือเป็นลีกที่มีมาตรการออกมาชัดเจน และอาจเป็นแนวทางสำหรับลีกอื่นๆได้อีกด้วย โดยมาตรการที่ออกมามีดังนี้    

 

-ทุกทีมต้องสั่งให้นักเตะสัมผัสกันน้อยที่สุดในสนามซ้อม

 

– นักเตะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไปจนจบฤดูกาลนี้

 

– นักเตะจะถูกขอให้อาบน้ำและเปลี่ยนชุดที่บ้าน และต้องซักเสื้อผ้าเอง

 

– สโมสรต้องจองโรงแรมให้นักเตะพักชั้นเดียวกันในวันก่อนแข่ง ส่วนนักเตะต้องใช้ข้อศอกกดลิฟท์

 

– ห้ามนักเตะจูบและมีเซ็กซ์กับคนรักที่แสดงอาการติดเชื้อโควิด-19

 

– แต่ละเกมจะอนุญาตให้คนเข้าสนามไม่เกิน 300 คน

 

– ทีมจะโดยสารรถบัสแยกกันตอนเดินทางมาสนามแข่ง ซึ่งจะมีการตรวจเช็คอุณหภูมิร่างกายบนนั้น

 

– นักเตะตัวจริงในวันแข่งต้องซ้อมแยกกับนักเตะที่มีชื่อบนม้านั่งสำรอง

 

– ถ้ามีใครถูกตรวจพบเชื้อโควิด-19 ทุกคนในทีมไม่จำเป็นต้องแยกไปกักตัว เฉพาะคนที่ติดเชื้อเท่านั้นที่ต้องแยกกันอยู่กับครอบครัวและเพื่อนร่วมทีมเป็นเวลา 14 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มมีอาการ

 

พรีเมียร์ลีก 

 

 

จากการประชุมกันของ 20สโมสรในพรีเมียร์ลีกผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมาเพื่อหาทางออกของวิกฤติไวรัสระบาด ซึ่งกำหนดไว้คร่าวๆว่าจะกลับมาเตะกันอีกครั้งในช่วงระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายน สำหรับการประชุมที่เกิดขึ้นได้ผุดตัว Project Restart ที่มีแนวทางดังนี้ ข้อแรกในแต่ละเกมจะให้คนเข้าสนามได้ไม่เกิน 300คน แบ่งเป็นทางทีมงาน และ นักเตะของทั้งสองทีม เจ้าหน้าที่สนาม รวมถึงสื่อต่างๆ ซึ่งจะเป็นการแข่งแบบปิดสนาม ข้อสองคือจะมีการใช้สนามกลางในแต่ละภูมิภาคในการแข่งขัน โดยมี

 

-สนาเอเม็กซ์ สเตเดี้ยม ของ ไบรท์ตัน และ เซนต์ แมรี่ส์ ของ เซาธ์แฮมป์ตัน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอังกฤษ 

 

-ลอนดอน สเตเดี้ยม ของ เวสต์แฮม และ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของ อาร์เซน่อล ในกรุงลอนดอน

 

– คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ของ เลสเตอร์ และ วิลล่า พาร์ค ของ แอสตัน วิลล่า ในแถบมิดแลนด์

 

– โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ แมนฯ ยูไนเต็ด และ เอติฮัด สเตเดี้ยม ของ แมนฯ ซิตี้ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ

 

โดยทีมเจ้าบ้านจะไม่ได้ลงเตะในสนามของตัวเองเพื่อเป็นการยุติธรรมต่อทุกๆทีม นอกจากนี้ยังมีอีกแนวคิดที่จะย้ายไปเตะอีก 10นัดที่เหลือกันที่ออสเตรเลียแทน ซึ่งก็มีสนามรองรับไว้อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องรออนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษ และจะได้บนสรุปกันในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้