ไปแล้วดับ: 5 แข้งย้ายทีมผิดชีวิตเปลี่ยน

ไปแล้วดับ: 5 แข้งย้ายทีมผิดชีวิตเปลี่ยน

การย้ายทีมของผู้เล่นดาวรุ่งหรือบรรดานักเตะที่ผลงานดี ถือว่าเป็นเรื่องปกติของวงการฟุตบอลในปัจจุบันที่ก้าวเข้าสู่ธุรกิจอย่างเต็มตัว

มีนักเตะมากมายที่ก้าวขึ้นมาสร้างชื่อให้กับตัวเอง หลังย้ายทีม แต่ก็มีหลายคนที่ยอมรับว่าคิดผิดไม่น่ารีบร้อนในการย้ายทีมจนชีวิตค้าแข้งของพวกเขาต้องพบเจอกับจุดเปลี่ยน

วันนี้ UfaArena จะพาทุกท่านไปย้อนอดีตกับ 5 นักเตะที่ย้ายทีมผิดชีวิตเปลี่ยน จากยอดแข้งที่เคยมีผลงานโดดเด่นกลายเป็นดับ จะมีใครบ้างไปดูกันเลย

๐ มาร์โก มาริน

ปีกจอมเลื้อยชาวเยอรมัน ครอบครัวของเขาลี้ภัยสงครามมาจากยูโกลสลาเวีย มาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ทำให้เขาได้เติบโตในเมืองเบียร์ สร้างชื่อในสมัยเป็นเยาวชนกับ “สิงห์หนุ่ม” โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค พาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุด จนในปี 2009 ย้ายไปอยู่กับ “นกนางนวลแห่งเวเซอร์” แวร์เดอร์ เบรเมน ผนึกกำลังกับ เมซุต โอซิล ที่ย้ายมาจากชาลเก้ 04 สร้างความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก และถูกคาดหมายว่าจะก้าวไปเป็นแข้งซูเปอร์สตาร์ พร้อมด้วยรับฉายา “เมสซี่เยอรมัน”

“ผมไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่ เมสซี่ก็คือเมสซี่เขาอยู่คนละระดับกับนักเตะทั่วไป ทุกครั้งที่ผมทำผลงานได้ดี หรือกับตอนมาอยู่กับทีมใหม่ พวกเขาจะตะโกนว่านี่คือ เมสซี่คนใหม่ของเรา มันโอเคดีนะ แต่ผมไม่คิดว่าจะมีใครเปรียบเทียบแบบจริงจังหรอก ไม่มีทาง”

การย้ายทีมก้าวสำคัญของ มาร์โก มาริน เกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 ในยุคที่ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ คุมทีม เริ่มต้นทำผลงานในช่วงปรีซีซั่นได้อย่างน่าประทับใจ แต่ก็ต้องเจอกับฝันร้ายเพราะอาการบาดเจ็บเล่นงาน บวกกับในตอนนั้น เชลซี มีการเปลี่ยนแปลงทีม โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งกุนซือ “เอล บอส” ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาทำหน้าที่แทน

เมื่อเขาไม่อยู่ในแผนของโค้ชใหม่ถูกส่งให้กับ หลายทีมยืมตัวไล่ตั้งแต่ เซบีญ่า, ฟิออเรนติน่า, อันเดอร์เลทช์ และแท็บซอนสปอร์ แต่ไม่ว่าจะทีมไหน ฟอร์มของเขาก็ไม่ได้เข้าใกล้กับฉายา “เมสซี่เยอรมัน” อีกเลย

ดูเหมือนว่าจุดเริ่มต้นของการย้ายไปเชลซีของเขาจะกลายเป็นความผิดพลาด แต่อย่างไรก็ตามเจ้าตัวยืนยันว่าไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์

“ผมย้ายไปที่นั่นเพราะหวังอยากลงเล่น ผมเริ่มต้นได้ดีในช่วงปรีซีซั่น จากนั้นผมก็บาดเจ็บหนัก มันยากเหลือเกินที่จะกลับสู่ทีม บางทีผมอาจจะไม่ได้รับโอกาสมากพอเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเอง แต่ก็นั่นแหละ เชลซี คือสโมสรใหญ่ พวกเขามีนักเตะคุณภาพย้ายเข้ามาตลอดเวลา มันเลยเป็นเรื่องยากที่จะได้ลงเล่น”

“ในระหว่างที่ผมถูกปล่อยยืมตัวพวกเขาจะติดตามตลอด ต้องพูดคุยรายงานกับสโมสรในทุกเดือนเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เล่น พวกเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม เปาโล แฟร์ไรร่า และเอ็ดดี้ นิวตัน จะคอยสื่อสารกับนักเตะที่ถูกปล่อยยืมตลอด” มาริน กล่าว

“พวกเขาไม่เคยละเลยนักเตะที่ปล่อยออกไป ดังนั้นแล้วผมมีความสุขมาก ๆ ที่ได้ย้ายมาเป็นส่วนหนึ่งของเชลซี และตอนนี้ก็ยังคอยเชียร์พวกเขาอยู่”

๐ อเล็กซานเดอร์ ฮเล็บ

ยอดเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลารุส ที่นานทีจะมีโผล่ให้เห็นสักหน เกิดและเติบโตในมินส์ค เมืองหลวงของเบลารุสสมัยที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของพี่ใหญ่อย่าง สหภาพโซเวียต แม่ของเขาทำงานโรงงาน ส่วนคุณพ่อขับรถบรรทุกน้ำมัน ก่อนจะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลเขาคือเล่นกีฬาชนิดอื่นอย่าง ว่ายน้ำ และยิมนาสติกมาก่อน

เขาเริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองในการเล่นให้สโมสรใหญ่อย่าง บาเต้ บอริชอฟ จนได้ย้ายมาค้าแข้งในบุนเดสลีกา เยอรมันกับ “ม้าขาว” สตุ๊ตการ์ท ในปี 2000 ใช้เวลาไม่นานก็ก้าวสู่ทีมชุดใหญ่เป็นกำลังหลักสำคัญในยุคที่ “จอมขมังเวทย์” เฟลิกซ์ มากัธ คุมทีม ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ ในปี 2000 และ2002

ในช่วงซัมเมอร์ปี 2005 เขาตัดสินใจย้ายทีมครั้งสำคัญเลือกไปผจญภัยในอังกฤษกับ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ด้วยราคา 15 ล้านยูโร พร้อมเซ็นสัญญา 4 ปี เขาสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่งในแผงเกมรุก น่าเสียดายที่เขาเข้าชิง 2 รายการอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และลีก คัพ แต่ก็เป็นได้แค่รองแชมป์ทั้งหมด แต่ผลงานของเขาถือว่ายอดเยี่ยมสุด ๆ

ปี 2008 เขาเลือกย้ายทีมอีกครั้งคราวนี้ไปอยู่กับสโมสรยักษ์ใหญ่ที่กำลังผงาดครองโลกอย่าง “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า นี่คือความผิดพลาดครั้งมหันต์ของเขา เพราะอยู่ อาร์เซน่อล เขาคือตัวหลัก แต่ที่คัมป์ นู นั้นต่างออกไป ได้เล่นกับทีมในปีแรก หลังจากนั้นก็ถูกปล่อยให้หลายสโมสรยืมตัว จนสุดท้ายหมดสภาพไปเอง กลายเป็นนักเตะพเนจรเล่นกับหลายสโมสรกลับไปแขวนสตั๊ดที่ต้นสังกัดแรกอย่าง บาเต้ บอริชอฟ เมื่อปี 2019

“หลายปีต่อมา..ผมยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ผมยังไม่เข้าใจ จนถึงวันนี้ยังไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและทำไมผมถึงตัดสินใจแบบนั้น ผมมีช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ กับอาร์เซน่อลได้ลุ้นแชมป์ทุกอย่าง” ฮเล็บ กล่าว

“แน่นอนว่า บาร์เซโลน่า คือสโมสรที่ดีที่สุดในโลก ณ เวลานั้น แต่ทีมที่ผมมีความสุขจริง ๆ คือ อาร์เซน่อล ผมร้องไห้ตอนได้คุยกับ อาร์แซน เวนเกอร์ ในยามที่ต้องร่ำลากัน เขาอยากเก็บผมไว้แต่ผมตัดสินใจไปแล้ว แม้ว่าผมจะอยู่กับบาร์เซโลน่าและคว้าแชมป์ทุกอย่าง แต่ผมไม่ได้ลงเล่นมากนัก”

“นี่คือความผิดพลาดของผม เพราะในตอนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิตส่วนตัวของผม ผมเริ่มต้นอย่างประหม่ากับบาร์เซโลน่า และมันเป็นก้าวที่ผิดพลาด”

๐ อัลแบร์โต้ อาควิลานี่

หนึ่งในดีลสุดล้มเหลวของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล สำหรับ “เจ้าชายน้อย” อัลแบร์โต้ อาควิลานี่ มิดฟิลด์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์ของวงการฟุตบอลอิตาลี ผู้ถูกคาดหมายว่าจะก้าวมาเป็น “เจ้าชายหมาป่า” คนถัดไปต่อจากตำนานอย่าง จูเซ็ปเป้ จานนินี่ และฟรานเชสโก้ ต๊อตติ

อาควิลานี่ ถือว่าเป็นลูกหม้อของ โรม่า เติบโตมาจากทีมเยาวชน ในตอนอายุ 17 ปี เขาเคยปฏิเสธข้อเสนอของสองทีมดังจากกรุงลอนดอนอย่าง “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล และ “สิงห์บลูส์” เชลซี อยู่กับโรม่า จนก้าวสู่ชุดใหญ่ในปี 2002 ด้วยลีลาท่วงท่าการเล่นที่สวยงาม ทำให้เขาเป็นนักเตะที่มีเสน่ห์ใครเห็นก็ปลื้ม

จุดหักเหสำคัญในชีวิตที่คือการเลือกตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในช่วงซัมเมอร์ปี 2009 เพราะในช่วง 2-3 ฤดูกาลสุดท้ายกับ โรม่า เขามีปัญหาอาการบาดเจ็บอย่างเนื่อง ทำให้ได้ลงเล่นน้อยมาก แต่กระนั้นชื่อของเขายังขายได้ ถูกราฟาเอล เบนิเตซ ซื้อเข้ามาในราคา 17 ล้านปอนด์ หวังว่าจะเข้ามาแทนการจากไปของ “คุณชาย” อย่าง ชาบี อลอนโซ่ ที่ย้ายไปอยู่กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ทิ้งหลุมดำอันเบ้อเร่อไว้ให้กับ “หงส์แดง”

การย้ายเข้าในแอนฟิลด์เขาถูกคาดหวังเอาไว้สูง ในช่วงแรกแม้จะมีปัญหาความฟิต และการปรับตัวในลีกใหม่ แต่ก็ได้ลงเล่นไปถึง 26 เกม มีสัญญาณดี ๆ จากตัวเขา คือดูแล้วน่าจะมีของ ได้รับเสียงปรบมือสนับสนุนจากแฟนบอลในยามที่ลงเล่นเสมอ

เมื่อ ลิเวอร์พูล มีการเปลี่ยนแปลง ราฟาเอล เบนิเตซ ต้องเด้งออกไป รอย ฮ็อดจ์สัน เข้ามาคุมทีมแทน อัลแบร์โต้ อาควิลานี่ ก็ไม่ได้อยู่ในแผนของ “ปู่รอย” ตัดสินใจส่งเขาย้ายกลับไปเล่นในอิตาลีกับ “ม้าลาย” ยูเวนตุส ด้วยสัญญายืมตัว และเอซี มิลาน ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ แต่ทีมจากอิตาลี ก็ไม่ได้ใช้อ็อปชั่นซื้อขาด จนสุดท้ายถูกปล่อยให้ ฟิออเรนติน่า แบบไร้ค่าตัวในยุคของ เคนนี่ ดัลกลิช

แน่นอนหลายคนมองว่าเขาคือหนึ่งในดีลที่ล้มเหลวของ ลิเวอร์พูล อย่างไรก็ตาม อัลแบร์โต้ อาควิลานี่ ไม่เคยเสียใจหรือเสียดายที่ได้ย้ายมาค้าแข้งในแอนฟิลด์

“ถ้าให้ผมเลือกอีกครั้งยังไงผมก็เลือกย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล แต่ความผิดพลาดจริง ๆ คือหลังจากนั้นมากมายตอนที่ผมย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส ด้วยข้อเสนอยืมตัวและอ็อปชั่นการซื้อขาดที่มีราคาสูงเกินไป”

๐ ลูก้า โยวิช

หัวหอกเจ้าของฉายา “ฟัลเกาแห่งเซอร์เบีย” เดินตามรอยคุณพ่อด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับ “อินทรีแดงดำ” ไอทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ในระหว่างที่เขาถูกเบนฟิก้าปล่อยออกมาในรูปแบบของการยืมตัว ผลงานของ โยวิช ในบุนเดสลีกา เยอรมัน ถือว่าโดดเด่นสุด ๆ จับคู่กับ เซบาสเตียน ฮัลแลร์ ถล่มประตูเป็นว่าเล่น

แถมยังสามารถยิง5 ประตูภายในเกมเดียวในการพบกับ ดุสเซลดอร์ฟ เทียบเท่ากับสถิติที่ยอดดาวยิงอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ จากบาเยิร์น มิวนิค ที่เคยยิงใส่โวล์ฟสบวร์ก กลายเป็นนักเตะแฟรงค์เฟิร์ตคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยิงได้ 5 ประตู ภายในเกมเดียวของศึกบุนเดสลีกา และอายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 20 ปีในตอนนั้น

ก้าวสำคัญในการย้ายของเขาเกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 โยวิช เลือกย้ายไปอยู่กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 60 ล้านยูโร ในตอนนั้นเขาอายุเพียง 21 ปี แต่ต้องไปแบกรับแรงกดดันอันมหาศาลจากการลงเล่นให้สโมสรที่ดีที่สุดในโลก ถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาเป็นตัวแทนของซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียอาโน่ โรนัลโด้

แต่อยู่กับทีมได้ลงเล่นไปแค่ 872 เกมเท่านั้น ถูกปล่อยให้หลายทีมยืมตัวและสุดท้ายมาอยู่กับ “ม่วงมหากาฬ” ฟิออเรนติน่า แบบไม่มีค่าตัวเมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2022

เจ้าตัวยอมรับว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการย้ายออกจาก แฟรงค์เฟิร์ต ไปอยู่กับ เรอัล มาดริดเร็วเกินไป

“ประสบการณ์ของผมที่ เรอัล มาดริด มันผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น ผมย้ายจาก ไอทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ไปที่นั่นเร็วเกินไป”

“ทุกคนสายตาต่างจับจ้องมาที่ผม ในตอนนั้นผมแค่อายุ 21 ปี มันยากที่จะปรับตัวทั้งปัญหาอาการบาดเจ็บ, โรคระบาดโควิด-19 และแรงกดดันที่ดูจะไม่เป็นธรรม มันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายและผมไม่มีความสุขเลย”

อย่างไรก็ตาม โยวิช เส้นทางการค้าแข้งของ โยวิช ยังไม่จบไปเพราะตอนนี้เพิ่งจะอายุ 25 ปี เท่านั้น ยังมีโอกาสกลับมาได้

๐ รอยตัน เดรนเธ่

อดีตดาวรุ่งชาวดัตช์เจ้าของฉายา “นิว เอ็ดการ์ ดาวิดส์” ที่ถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นแข้งระดับซูเปอร์สตาร์ของโลก แต่ชีวิตของเขาต้องพบกับจุดที่ตกต่ำแบบสุดขีด เดรนเธ่ เกิดที่ร็อตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาเป็นนักเตะดัตช์ทีมีเชื้อสายซูรินาม เช่นเดียวกับผู้เล่นอีกหลาย ๆ คน เล่นในตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้ายทั้งวิงแบ็ค, ฟูลแบ็ค และปีก

ผลงานของเขาโดดเด่นสุด ๆ เกิดขึ้นในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี เขาพาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ผงาดคว้าแชมป์ในปี 2007 แถมยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ดังกล่าวอีกด้วย ถือว่าเป็นการเดินตามรอยนักเตะระดับโลกที่เคยได้รับรางวัลนี้อาทิ รูดี้ โฟลเลอร์, โลร็องต์ บล็องก์, ดาวอร์ ซูเคอร์, หลุยส์ ฟิโก้, ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และอันเดรีย ปีร์โล่

“ผมเคยได้ยินมาว่ามีถึง 16 สโมสรที่สนใจผม ผมได้คุยกับ โจน ลาปอร์ต้า ประธานของบาร์เซโลน่า และเปแดร็ก มิยาโตวิช ผู้อำนวยการของ เรอัล มาดริด และที่นั่นทำให้ผมตัดสินใจได้ไม่ยาก เพราะมาดริดคือทีมที่มีเสน่ห์และผมอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรนั้น” เดรนเธ่ กล่าว

ผลงานในทัวร์นาเมนท์นั้นทำให้เขาได้ย้ายไปอยู่กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 14 ล้านยูโร เปิดตัวกับทีมใหม่พร้อมกับรุ่นพี่ในทีมชาติอย่าง เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ ในช่วง 2 ปีแรก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีปัญหาอะไร สามารถปรับตัวกับทีมได้อย่างรวดเร็ว

แต่เมื่อคนมาที่หลังอย่าง มาร์เซโล่ สามารถระเบิดฟอร์มจนยึดตัวจริงแบบผูกขาด สถานการณ์ของ เดรนเธ่ กับเรอัล มาดริด เปลี่ยนไปทันที ในฤดูกาล 2009-10 เขาได้ลงเล่นในทุกรายการไปเพียงแค่ 11 เกมเท่านั้น นำไปสู่การถูกปล่อยให้ทีมอื่นยืมตัว

เขาเคยสร้างวีรกรรมแสบในระหว่างที่ย้ายไปอยู่กับ “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ด้วยสัญญายืมตัว ด่ากับ เดวิด มอยส์ ที่เป็นกุนซือในตอนนั้นและหนีกลับเนเธอร์แลนด์ไปแบบดื้อ ๆ เป็นสิ่งที่นักฟุตบอลอาชีพไม่มีใครเขาทำกัน

หลังจากนั้นเขาก็ต้องย้ายออกจาก เรอัล มาดริด เมื่อสัญญาหมดลง ย้ายไปพเนจรกับหลายสโมสรตัดสินใจแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 29 ปี หันไปเอาดีด้านการร้องเพลงสไตล์แรพเปอร์ แต่ก็ไปไม่รอด จนถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาอาจจะไม่ใช่เพราะย้ายผิดทีม แต่เป็นตัวของเขามากกว่าที่ทำให้มันพังลง เจ้าตัวยอมรับว่ามีรสนิยมชื่นชอบการปาร์ตี้ และก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพค้าแข้งเร็วเกินไป

เรื่องราวของ รอยสตัน เดรนเธ่ คือการทำตามความฝันที่ไม่เป็นดั่งฝัน เขาไปไม่สุดสักทาง ทั้งวงการลูกหนังหรือวงการบันเทิง อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำลงไป

“ผมไม่เคยนึกย้อนเสียดายกับสิ่งต่าง ๆ ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลให้เป็นไป ผมมีความสุขเสมอกับทุกช่วงเวลาในชีวิต รวมถึงชีวิตปัจจุบัน”