ไม่รู้ไปโกรธใครมา! 11 บิ๊กแมตช์ยิงกระจายจนต้องจำ

 

ศึกพรีเมียร์ ลีก นัดที่ 26 ของฤดูกาล เกมบิ๊กแมตช์ ระหว่าง เเมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ เชลซี ผลการเเข่งขันจบลงด้วยความพ่ายเเพ้ของ เชลซี ต่อ เเมนฯ ซิตี้ 0-6 เเละนับเป็นความพ่ายเเพ้ที่ยับเยินที่สุดตั้งเเต่ โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์เชลซีตั้งเเต่ปี 2003 วันนี้ UfaArena จะพาไปชม 11 เกมบิ๊กแมตช์ที่ทีมใหญ่เจอทีมใหญ่เเต่ยิงกระจายจนต้องจำ

 

1. แมนฯ ซิตี้ 5-0 ลิเวอร์พูล (2018)

 

 

ฤดูกาลเเห่งความยิ่งใหญ่ของ แมนฯ ซิตี้ การโคจรมาเจอกันตั้งเเต่ต้นฤดูกาล เริ่มเกมมา เรือใบสีฟ้า ทำได้ดีกว่าเเละมาได้ประตูออกนำจาก เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” ตั้งเเต่นาทีที่ 24 หลังจากนั้น 13 นาที จุดเปลี่ยนของเกมก็เกิดขึ้น เมื่อ ซานดิโอ มาเน่ เเนวรุกหงส์เเดง วิ่งกวดบอลที่สางยาวมา เเต่ เอแดร์ซอน นายทวารเเมนฯ ซิตี้ ออกมาถึงบอลก่อน มาเน่ ที่พยายามเหยียดเท้าไปให้ถึงบอลเเต่ดันไปเข้าที่หน้าของ ผู้รักษาประตูบราซิล ถึงขั้นคางเเตก ผู้ตัดสินชักใบเเดงไล่ มาเน่ ออกจากสนาม ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องเล่น 10 คนตลอดครึ่งหลัง

 

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ไม่มีทางเลือกมานัก เพราะสกอร์ตามหลังอยู่ เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือหงส์เเดง ยังคงบอกให้นักเตะเดินหน้าบุก จนในที่สุดน้ำน้อยย่อมเเพ้ไฟ จบเกม ลิเวอร์พูล เเพ้ เเมนฯ ซิตี้ เเบบยับเยิน 5-0

 

2. แมนฯ ซิตี้ 6-3 อาร์เซนอล (2013)

 

 

การเจอกันของ 2 ทีมยักษ์ใหญ่ในเวลาที่พอเหมาะ เเมนฯ ซิตี้ กำลังดุดันเรื่องเกมรุก ส่วนอาร์เซน่อล มีสถิติเกมรับที่ยอดเยี่ยมในขณะนั้น ลงสนามไป 15 เกม เสียเพียงเเค่ 11 ประตู จึงเหมือนเป็นการเจอกันของทีมที่เกมรับดีที่สุด เเละเกมรุกดีที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม เเนวรุกทีมเรือใบในวันนั้นท็อปฟอร์มเหลือเกินทั้ง เซร์คิโอ อเกวโร่, อัลบาโร เนเกรโด้ เเละ ดาบิด ซิลบา ดาหน้ากันเข้ามายิงชนิดที่เรียกว่า ทีมปืนใหญ่ไม่ทันตั้งตัว สุดท้ายก็เป็น แมนฯ ซิตี้ ทีมที่เกมรุกดุดันเป็นฝ่ายบดเอาชนะไป 6-3

 

3. แมนยู 8-2 อาร์เซนอล (2011)

 

 

เป็นช่วงที่ทีมปีศาจเเดงมีปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน อย่างไรก็ตามนั้นไม่ใช่ปัญหาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือทีมปีศาจเเดงในตอนนั้นกับปรัชญาการเล่นเกมบุกที่ดุดัน เซอร์ อเล็กซ์ สั่งให้นักเตะที่มีอยู่เดินหน้าเข้าบุกเเหลกทามกลางเสียเชียร์ในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งก็มีประเด็นเกิดขึ้นมากมาย

 

การเซฟจุดโทษของ ดาบิด เด เคอา นายทวารผีเเดง, การโดนใบเเดงของ คาร์ล เจนกินสัน ฟูลเเบ็คปืนใหญ่ เหมือนว่าอะไรๆก็จะไม่เข้าทาง อาร์เซน่อลนัก สุดท้าย แดนนี่ เวลเบ็ค, แอชลี่ย์ ยัง เหล่านักเตะสำรองต่างระเบิดฟอร์ม ส่วน เวย์น รูนี่ย์ ก็กดคนเดียว 3 ตุง พาปีศาจเเดง เปิดบ้านอัด อาร์เซน่อล เเบบถล่มทลาย 8-2

 

4. เชลซี 3-5 อาร์เซนอล (2011)

 

 

เป็นอีกหนึ่งศึก ดอนดาร์บี้ ที่ยิงประตูกันเยอะ อย่างไรก็ตามปีนั้น เป็นปีที่เชลซี ทำผลงานได้อย่างตกต่ำ หลังการเปลี่ยนเเปลงทีมด้วยการดึง อังเดร วิลลาส โบอาส เข้ามาคุมทีม

 

เกมก่อนหน้านั้นเชลซีเเพ้ให้กับ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ก่อนฟอร์มจะออกทะเลไปดื้อๆ จนมาเจออาร์เซน่อล ครึ่งเเรก เชลซี ทำได้ดีกว่ามาก นำอยู่ 2-1 เเต่ในครึ่งหลังเป็นหนังคนละม้วน ธีโอ วัลค็อตต์ กับ อังเดร ซานโต๊ส มาบวกคนละประตู ช่วยไอ้ปืนใหญ่พลิกนำ 3-2 เป็นครั้งแรก เจ้าบ้านไม่ยอมแพ้และตามตีเสมอสำเร็จในนาทีที่ 80 จาก ฆวน มาต้า อย่างไรก็ตาม โรบิน ฟาน เพอร์ซี มาส่องประตูเพิ่มอีก 2 ลูก เป็นแฮททริคของตัวเองในเกมนี้ พร้อมนำ ทีมปืนใหญ่บุกอัด สิงโตน้ำเงินครามถึงถิ่น

 

5. แมนฯ ยูไนเต็ด 1-6 แมนฯ ซิตี้ (2011)

 

 

เป็นปีที่ แมนฯ ซิตี้ พยายามปลุกปั้นตัวเองขึ้นมาเป็นยอดทีมของศึกพรีเมียร์ ลีก หลังจากได้เงินจากกลุ่มทุนอาบูอาบี เข้ามายกระดับ ซึ่งเกมนี้จะเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของทีมเรือใบสีฟ้าก็ได้

 

ช่วงนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นมหาอำนาจของลีก การจะเอาชนะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การเจอกันของทั้งคู่ แมนฯ ซิตี้ ทำได้ดีจนน่าตกใจ มาริโอ บาโลเตลลี่ ยิงประตูเบิกร่องให้ เเมนฯ ซิตี้ ออกนำก่อน เเละจุดเปลี่ยนของเกมคือการที่ จอนนี่ อีแวนส์ โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม หลังจากนั้นเครื่องของ เเมนฯ ยู ก็รวนไปดื้อๆ โดนทีมเยือนบุกกระหน่ำไรอัดไปเเบบไม่เหลือชิ้นดี 1-6 ทำให้พวกเขาประสบความพ่ายเเพ้ที่ยับเยินที่สุดตั้งแต่ปี 1955

 

6.ลิเวอร์พูล 4-4 อาร์เซนอล (2009)

 

 

เป็นครั้งเเรกในช่วงยุคพรีเมียร์ ที่ ลิเวอร์พูล ได้เบียดลุ้นเเชมป์กับ เเมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างสนุก พวกเขาเอาชนะได้ทั้ง เเมนฯ ยู, เชลซี หรือ สเปอร์ส เเต่เมื่อมาเจอกับ อาร์เซน่อล ปัญหาก็เกิดขึ้น

 

ใครเป็นเเฟน หงส์เเดง คงจำเกมนี้ได้ดีกับท่าดีใจยิง 4 ประตูของ อังเดร อาร์ชาวิน ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ถึง 4 ประตูที่สนาม แอนฟิลด์ ในรอบ 60 ปี ขณะที่ เจ้าบ้านต้องมานั้งไล่ตามตีเสมอจาก 2 นักเตะอย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส และ ยอสซี่ เบนายูน สุดท้ายก็ทำได้เเค่เสมอ โยนโอกาสที่จะไล่ตาม เเมนฯ ยู เป็นเเชมป์ในช่วงท้ายอย่างน่าเสียดาย

 

7 .อาร์เซนอล 4-4 สเปอร์ส (2008)

 

 

เรียกได้ว่าเป็นยุคตกต่ำที่สุดช่วงหนึ่งของ สเปอร์ส หลังไม่ชนะใครมาติดต่อกัน 8 เกม จนต้องเเต่งตั้ง แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ เข้ามาคุมทีม เเละก็เริ่มด้วยการเก็บชัยชนะ เเต่ก็ต้องมาเจอบททดสอบหนักด้วยการเล่นศึก ดาร์บี้แมตช์แห่งลอนดอน ด้วยการเยือน อาร์เซนอล

 

เริ่มเกมมาไม่มีใครอยากเชื่อ ไก่เดือยทอง ออกนำด้วยลูกยิงไก่สุดสวยของ เดวิด เบนท์ลี่ย์ หลังจากนั้นเกมก็เปิด อาร์เซน่อล เดินหน้าบุกเข้าใส่อย่างหนัก เเละเป็น มิคาเอล ซิลแวสตร์, วิลเลียม กัลลาส และ เอมมานูเอล อเดบายอร์ ยิงคนละ 1 ประตูพาทีมปืนใหญ่เเซงนำ 3-1 ก่อนที่ ดาร์เรน เบนท์ จะมายิงไล่มาเป็น 2-3 เเต่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก็มาซัดประตูที่ 4 ให้ อาร์เซน่อล หนีไปอีก

 

อย่างไรก็ตาม เกมรับของปืนใหญ่มีปัญหาจริงๆมาโดน เจอร์เมน จีนาส กับ อารอน เลนน่อน ยิงคนละประตูทำให้เกมบิ๊กแมตช์จบลงด้วยผลเสมอ 4-4

 

8. แมนฯ ยูไนเต็ด 6-1 อาร์เซนอล (2001)

 

ก่อนความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายที่สุดของ อาร์เน่อล ที่มีต่อ เเมนฯ ยู 8-2 เมื่อปี 2011 พวกเขาเคยบุกมาเยือนโรงละครแห่งความฝันและแพ้แบบหมดทางสู้มาเเล้ว

 

ทีมปืนใหญ่ ต้องเจอปัญหานักเตะกองหลังพาเหรดกันบาดเจ็บ ไม่มีทางเลือกจนต้องเสี่ยงส่งนักเตะดาวรุ่งลงสนามทั้ง อิกอร์ สเตฟานอฟส์ และ กิลส์ กริมองดี้ ลงเป็นคู่ปราการหลังตัวกลาง

 

เเนวรับชั่วคราวไม่สามารถต้านทานความเเข็งเเกร่งของเเนวรุกที่ดุดันของ ยูไนเต็ดได้ ปีศาจแดงบุกเเบบพับสนามอยู่ฝ่ายเดียวและทำประตูนำขาดลอยตั้งแต่ครึ่งแรก 5-1 โดยได้จาก ดไวท์ ยอร์ค 3 ลูก, รอย คีน และ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ส่วนทีมเยือนได้ประตูตีตื้นจาก เธียร์รี อองรี ก่อนที่ เท็ดดี้ เชอริงแฮม จะมาซัดประตูช่วยทีมอีกลูกในครึ่งหลัง จบเกมก็ตามสภาพ อาร์เซน่อล สู้ไม่ได้เเม้เเต่นิดเดียว

 

9. สเปอร์ส 3-5 แมนฯ ยูไนเต็ด(2001)

 

 

เป็นหนึ่งเกมที่ทำทีมปีศาจเเดง เป็นทีมเเห่งการ “คัมแบ็ค” เกมนี้ เป็นการเริ่มต้นที่เเฟนปีศาจเเดงต้องกุมขยับ หลังโดน ดีน ริชาร์ดส์, เลส เฟอร์ดินานด์ กับ คริสเตียน ซีเก้ ยิงคนละ 1 ประตู พา สเปอร์ส นำห่าง เเมนฯ ยู ถึง 3-0

 

เเต่หลังจากเข้าสู่ห้องเเต่งตัวช่วงพักครั้ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือทีมเเมนฯ ยู โชว์สกิลการเเก้เกมที่ยอดเยี่ยม กลับมาลงสนามในครึ่งหลัง แอนดี้ โคล ยิงประตูตีไข่เเตกได้ก่อนที่ โลร็องต์ บล็องก์, รุด ฟาน นิสเตลรอย, ฮวน เซบาสเตียน เวรอน เเละ เดวิด เบ็คแฮม จะกระทุ้งคนละ 1 ประตู ปิดฉากความฝันเเฟนไก่เดือยทองที่จะได้เห็นวันอันสดใส เป็นวันเเห่งฝันร้าย

 

10.อาร์เซนอล 5-2 สเปอร์ส (2012)

 

 

บิ๊กแมตช์ที่เป็นการเจอกันของ 2 ทีมที่ฟอร์มต่างกันมาก สเปอร์ส ที่กำลังอยู่ในช่วงบินสูง รั้งอันดับ 3 ของตาราง โอกาสไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกสูงมาก ขณะที่ อาร์เซนอล ที่รั้งอันดับ 5 ของตารางก็ต้องการกลับไปติดท็อปโฟร์ เเต่ฟอร์มของพวกเขาตกสุดๆ เเพ้ 3 เกมให้กับทีมหนีตกชั้นอย่าง แบล็คเบิร์น, ฟูแลม และ สวอนซี ซิตี้ รวมถึงความพ่ายเเพ้เเบบสุดอัปยศต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด 8-2 เพราะฉนั้นเกมนี้ต่างฝ่ายจำเป็นต้องการ 3 เเต้มอย่างมาก

 

เกมเหมือนจะเข้าทาง สเปอร์ส พวกเขาออกนำไปก่อน 2-0 เเต่หลังจากนั้นกลายเป็น อาร์เซน่อล โชว์ พวกเขายิง 5 ประตูรวด ก่อนจะเอาชนะไป 5-2 เเละนั้นเป็นจุดที่ทำให้พวกเขากลับคืนฟอร์มเก่ง อาร์เซน่อล เก็บชัย ได้ถึง 7 จาก 12 เกมที่เหลือ จบเป็นอันดับที่ 3 ส่วน สเปอร์ส จบที่ 4 เเต่ก็อกหักไม่ได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก เพราะ เชลซี ที่จบอันดับ 5 คว้าเเชมป์ถ้วยใบใหญ่ของยุโรปได้ จึงได้สิทธ์ไปเล่นรายการนั้นเเทน ขณะที่ ไกาเดือยทองได้ไปเล่นเเค่ ยูโรป้า

 

11. เชลซี 5-0 แมนฯ ยูไนเต็ด (1999)

 

 

ก่อนเกมบิ๊กแมตช์คู่นี้จะเริ่มขึ้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่แพ้ใครมา 29 นัดติดต่อกันแล้ว แต่สถิติสุดยอดดังกล่าวต้องมาพบกับจุดจบเมื่อ เชลซี ทำเซอร์ไพรส์แฟนบอลทั้งประเทศด้วยการเอาชนะ “ปีศาจแดง” แบบขาดลอย 5-0 จากประตูสองประตูของ กุส โปเยต์, คริส ซัตตัน, เฮนนิง เบิร์ก ที่ทำเข้าประตูตัวเอง และปิดท้ายด้วยประตูตอกฝาโลงของ จอร์ดี้ มอร์ริส ส่งให้สิงห์บลูเก็บชัยชนะชิดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะขาดลอยขนาดนี้