ไม่ใช่ยักษ์หลับแล้ว! 5 เหตุผล “กังหันลม” คืนฟอร์มเทพ

หลังจากอกหักผิดหวังมา 2 ทัวร์นาเมนต์ติดๆ กัน ทั้ง ยูโร 2016 และฟุตบอลโลก 2018 ในที่สุด เนเธอร์แลนด์ หนึ่งในทีมขวัญใจชาวไทย ก็กลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง

 

ภายใต้การคุมทีมของ โรนัลด์ คูมัน พวกเขากลับมาเป็น “อัศวินสีส้ม” ที่น่าเกรงขาม ไล่ผลงานตั้งแต่ได้รองแชมป์ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก เมื่อต้นปี

 

ขณะที่คัดเลือก ยูโร 2020 ก็สู้กับ เยอรมัน ได้แบบสูสี ก่อนจะควงกันเข้ารอบสุดท้ายได้ตามเป้าหมายเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการลุยรอบสุดท้ายรายการระดับเมเจอร์เป็นหนแรกในรอบ 5 ปี

 

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ เนเธอร์แลนด์ ที่เคยเป็น “ยักษ์หลับ” กลับมาตื่นอีกครั้ง เราลองวิเคราะห์จากหลายๆ มุมแล้ว นี่คือ 5 คำตอบที่เราค้นพบและคิดว่าคุณเองก็น่าจะเห็นด้วยอย่างแน่นอน

FBL-WC-2014-NED-TRAINING-1571218279.jpg

แข้งหลักอยู่ในฟอร์มที่ดี

 

สาเหตุสำคัญที่ เนเธอร์แลนด์ ตกต่ำในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาคือพวกเขาไม่สามารถผลิตนักเตะคุณภาพขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมได้เลย นับตั้งแต่หมดยุค 3 ทหารเสืออย่าง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, อาร์เยน ร็อบเบน และ เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์

 

“วันเดอร์คิด” ในตอนนั้นอย่าง เมมฟิส เดปาย กลายเป็นเพียงตัวตลกในโรงละครแห่งความฝัน การมีฟอร์มที่แย่ในระดับสโมสร ไม่แปลกที่จะส่งผลมายังทีมชาติ

 

อย่างไรก็ตามประสบการณ์คือสิ่งที่เรียนรู้ได้ การย้ายออกมาอยู่กับ ลียง คือการเปลี่ยนชีวิตให้ตัวเองกลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง เดปาย ทั้งยิงทั้งจ่ายจนเป็นตัวท็อปของลีก เอิง และพัฒนาตัวเองกลายเป็นกองหน้าตัวเป้าที่ไว้ใจได้

 

ขณะที่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค และ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม มีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมอย่างมากกับ ลิเวอร์พูล พวกเขาเพิ่งความแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลล่าสุด ก็กลายเป็นอีก 2 หน่อที่เป็นเสาหลักของทัพ “กังหันลม” ในยุคนี้

 

โดยเฉพาะ ฟาน ไดจ์ค ที่ฟอร์มแข็งแกร่งมากๆ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีทีสุดในโลก การันตีด้วยการคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป ประจำฤดูกาล 2018-19 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานิเอง

FBL-EURO-2020-NED-GER-QUALIFIER-1571220225.jpg

สายเลือดใหม่เกรดซุปตาร์

 

ความสำเร็จของ อาแจ็กซ์ อัมเตอร์ดัม ในฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้โลกฟุตบอลจากแดนกังหันลมกลับมาคึกคักอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา

 

การผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนไปแพ้ สเปอร์ส ด้วยกฎอะเวย์โกล์แบบน่าเสียดาย กลายเป็นเวทีสร้างชื่อให้กับ มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ และ เฟรนกี้ เดอ ยอง เป็นอย่างมาก

 

ทั้งคู่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งดาวรุ่งที่ดีที่สุดของยุคนี้ และไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่จะโดนทีมใหญ่จีบอย่างหนักก่อนบทสรุปสุดท้ายคือ เดอ ยอง เลือกไป บาร์เซโลน่า และ เดอ ลิกต์ ซบตักยูเวนตุส

 

ในอดีต ฮอลแลนด์ คือชาติที่มักจะผลิตนักเตะคุณภาพสู่ตลาดยุโรป แบบสม่ำเสมอ ไล่เรียงนักเตะชื่อดังๆ ก็ตั้งแต่ยุค แพทริค ไคลเวิร์ต, พี่น้องเดอ บัวร์, เอ็ดการ์ ดาวิดส์, คลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ หรือรุ่นหลังๆ ก็มีพวก ร็อบเบน, ฟาน เดอร์ ฟาร์ท, ฟาน เพอร์ซี่ และ สไนจ์เดอร์

 

แต่ต้องยอมรับความจริงว่าช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาคุณภาพมันตกลงไปเยอะ เหมือนจะดี สุดท้ายก็ย้ายไปอยู่ได้แค่ทีมเกรดบีของลีกอื่นๆ แทบไม่มีนักเตะฮอลแลนด์ ที่เป็นสตาร์ดังในทีมใหญ่เลย

 

แต่การแจ้งเกิดของทั้ง เฟรนกี้ เดอ ยอง และ มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์ คือ “ความหวังใหม่” ที่น่าจะเติบโตและก้าวไปเป็นสตาร์ได้เหมือนรุ่นพี่ๆ ในยุคก่อนได้

FBL-NETHERLANDS-KNVB-KOEMAN-1571218580.jpg

ได้กุนซือคนที่ใช่

 

ความล้มเหลวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในเหตุผลหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ เนเธอร์แลนด์ ไม่มีกุนซือที่ดีพอ พวกเขาวนอยู่นในอ่างกับกุนซือตกยุคอย่าง กุส ฮิดดิ้งส์ และ ดิ๊ค อัดโวคาท

 

2 กุนซือขรัวเฒ่าเรื่องความสำเร็จในอดีตไม่มีใครเถียง แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าโลกฟุตบอลสมัยนี้มันหมุนไปไวมาก ทั้งคู่ปรับตัวไม่ทัน อาศัยแต่แท็กติกเดิมๆ สุดท้ายก็ไปไม่รอดทั้งคู่

 

พอจะหากุนซือสายเลือดใหม่มาคุมทีม ดันไปได้ แดนนี่ บลินด์ กุนซือไก่อ่อนที่แทบไม่มีโปรไฟล์ที่ไหนมาก่อนเลย ส่วนใหญ่ทำหน้าที่แค่มือขวาเท่านั้น ไม่แปลกที่ทีมจะยิ่งออกทะเลไปแบบไร้ทิศทาง

 

สุดท้ายผู้ที่มาฮีโร่กอบกู้สถานการณ์ที่เลวร้ายก็คือ โรนัลด์ คูมัน กุนซือวัยกำลังสวยและมากไปด้วยประสบการณ์ผ่านการคว้าแชมปืในประเทศทั้งกับ อาแจ็กซ์ และ พีเอสวี รวมถึงได้ออกไปเก็บเลเวลมาแล้วหลายลีกไม่ว่าจะเป็น โปรตุเกส, สเปน และลีกหินๆ อย่างพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

 

คูมัน เป็นกุนซือที่ได้รับการยอมรับอย่างมาก ผลงานระดับสโมสรดีอย่างต่อเนื่อง สมัยที่คุมทั้ง เซาธ์แฮมป์ตัน และ เอฟเวอร์ตัน ก็มักจะเป็นของแสลงของทีมท็อปซิกซ์อยู่เป็นประจำ และหากเจ้าตัวก้าวลงจากตำแหน่งกุนซือทีมชาติเมื่อไหร่ เห็นว่าตำแหน่งเฮดโค้ชของบาร์เซโลน่า ก็ปูพรมมารอเรียบร้อยแล้วด้วย

แผนการเล่นยืดหยุ่น

 

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า โรนัลด์ คูมัน คือกุนซือฝีมือดีที่ได้รับการยอมรับอย่างมาก แต่ถ้าจะพูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือเป็นเรื่องของแท็กติกที่มีความ “ยืดหยุ่น” สูง และค่อนข้างเหมาะสมกับทีม กังหันลม

 

โดยแท็กติกหลักอดีตกุนซือของ เอฟเวอร์ตัน จะวางทีมในระบบเก่งก็คือ 4-3-3 ตามปกติมี ฟาน ไดจ์ค กับ เดอ ลิกต์ จับคู่กันเป็นภูผาน้ำแข็ง ส่วนแดนกลาง เฟรนกี้ เดอ ยอง จะเป็นฟันเฟือหลักในการคุมเกม ส่วนแนวรุกให้ เดปาย เป็นอาวุธหนักของทีม

 

ด้วยระบบนี้หากไม่เจอคู่แข่งในระดับเดียวกันก็มักจะผ่านได้ไม่ยาก แต่หากต้องเจอทีมที่เกรดบอลสูสี หรือต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ทีมก็พร้อมปรับมาเล่นในระบบ 3-5-2 แบบแทบไม่ต้องเปลี่ยนตัวเลย

 

ดาลี่ย์ บลินด์ แนวรับสารพัดประโยชน์จะถูกโยกจากแบ็กซ้ายมาเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟคนที่สาม ส่วน ดัมฟรี่ส์ จะกลายเป็นวิงแบ็ก เช่นเดียวกับ ควินซี่ โพรเมส ที่จากปีกก็ต้องปรับมาเล่นเกมรับมากขึ้น ส่วนแนวรุกจากหน้าเป้าคนเดียว ไรอัน บาเบล ก็จะกลายเป็นทูท็อปกับ เดปาย แทน

 

ไม่ว่าจะต้องเจอคู่แข่งประเภทไหน จะเก่งหรือว่าจะอ่อน ทาง คูมัน ก็พร้อมจะรับมือได้หมด ไม่แปลกใจเลยที่ทำไม เนเธอร์แลนด์ ถึงฟอร์มดีตั้งแต่ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก มาจนถึง ยูโร 2020 รอบคัดเลือก

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ bergwijn malen netherland

กองหนุนไม่ขี้เหร่

 

การจะเป็นทีมฟุตบอลที่ดีนั้นต้องไม่ควรจะมีดีแค่ 11 ตัวจริง แต่ขุมกำลังสำรองก็ต้องเด็ดด้วยถึงจะคาดหวังผลงานที่ดีได้

 

โดยใน เนเธอร์แลนด์ ชุดนี้ นอกจากตัวหลักๆ ที่เป็นสตาร์ของทีมแล้ว ขุมกำลังสำรองก็ถือว่าพอไหว ในแนวรับพวกเขามี นาธาน อาเก้ จากบอร์นมัธที่กำลังเนื้อหอมอยู่ในพรีเมียร์ลีก รวมถึงแข้งประสบการณ์สูงทั้ง สเตฟาน เดอ ไฟรจ์ จากอินเตอร์ และ โยเอล เฟลมันน์ ของอาแจ็กซ์ ที่เป็นอะไหล่ชั้นดี

 

แดนกลาง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ห้องเครื่องหนุ่มจากอาแจ็กซ์ เอาจริงๆ ดีพอที่จะสตาร์ตตัวจริงด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่า ไวจ์นัลดุม นั้นเก๋าและเข้าใจแท็กติกมากกว่า ขณะที่แนวรุกคู่หูจาก พีเอสวี ทั้ง สตีเฟ่น เบิร์กไวจ์น และ ดอนเยลล์ มาเล่น ก็เป็นสายเลือดใหม่ที่หวังได้เลย นับเฉพาะฤดูกาลนี้ทั้งคู่ก็ยิงรวมกันไปแล้ว 12 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ สามารถเรียกใช้เป็นซูเปอร์ซับให้กับทีมได้อย่างแน่นอน