ไม่ใช่แค่ตัวแทน: 10 แข้งอะไหล่แต่ฟอร์มเฉิดฉายแบบไม่คาดคิด

 

จู่ๆผู้รักษาประตูคนใหม่ของลิเวอร์พูล อาเดรียนก็ได้ลงเล่นในเกมนัดสำคัญแบบไม่ทันตั้งตัวในเกม ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ ที่พบกับเชลซี ในวันพุธที่ผ่านมา หลัง อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารมือหนึ่งบาดเจ็บในพรีเมียร์ลีกนัดเปิดสนามเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งๆที่ย้ายมาค้าแข้งในแอนฟิลด์ได้แค่ 10 วันเท่านั้น 

 

แม้เดอะ ค็อป หลายคนจะกังวลเกี่ยวนายทวารคนใหม่ของทีมว่าจะไหวหรือไม่ แต่ทุกอย่างก็ดูราบรื่นไม่มีปัญหาอะไรมากนัก หลังมือชาวชาวสแปนิชเซฟจุดโทษสำคัญช่วยให้หงส์แดงคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้เป็นสมัยที่ 4 

 

ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในวงการลูกหนัง เพราะมีหลายทีมต้องเจอกับภาวะฉุกเฉินหลังผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บ, ติดโทษแบน จนต้องหันไปใช้แข้งอะไหล่ในทีมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ทำผลงานได้ดีเกินคาด แถมบางครั้งก็ดันดีกว่านักเตะที่เขามาแทนที่ด้วยซ้ำไป 

 

ทาง UFA ARENA จึงขอนำแฟนบอลทุกท่านไปพบ 10 แข้งอะไหล่แต่ฟอร์มเฉิดฉายแบบไม่คาดคิดในวงการฟุตบอลตั้งแต่อดีตจนถึงยุคปัจจุบันผ่านบทความนี้กัน

 

 

เทรเวอร์ ฟรานซิส (น็อตติ่งแฮม ฟอเรสต์, 1979)

 

 

“เทรเวอร์ทำผลงานได้ไม่น่าพอใจจนกระทั่งช่วงท้ายๆของยูโรเปี้ยน คัพ” กุนซือทีมเจ้าป่า ไบรอัน คลัฟ เผย  “แต่ผมก็พาเข้าไปด้วยตลอด และเขาก็พูดคุยกับเพื่อนบ่อยๆในช่วงพักครึ่ง”

 

กุนซือปากกรรไกรเกลียดมากหากเขาต้องเปลี่ยนแปลงนักเตะในทีมที่ทำได้ดีอยู่แล้ว แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของ อาร์ชี่ เกมมิล และ มาร์ติน โอนีล หมายความว่า แข้งค่าตัวแพงที่สุดในเกาะอังกฤษจะได้ประเดิมสนามในเกมยุโรปกับ มัลโม่ ในนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1979 ที่มิวนิค

 

มันเป็นเกมที่น่าเบื่อพอสมควร จนกระทั่ง จอห์น โรเบิร์ตสัน ปีกชาวสก็อต ลากเลื้อยทางกราบซ้ายและเปิดบอลเข้ามาเสาสองให้ ฟรานซิส พุ่งโหม่งเข้าไปตุงตาข่าย และกลายเป็นประตูชัยให้เจ้าป่าคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกไปครอง

 

 

คริสโตเฟอร์ เรห์ (อาร์เซน่อล, 1998)

 

 

น้อยคนจะรู้ว่ากองหน้าตัวสำรองของอาร์เซน่อลอย่าง คริสโตเฟอร์ เรห์ เป็นญาติกับ จอร์จ เวอาห์ ตำนานแข้งทีมชาติไลบีเรียด้วย และเขาก็นั่งอยู่ม้านั่งสำรองอยู่บ่อยครั้งในฤดูกาล 1997-98

 

ด้วยอาการบาดเจ็บและการติดโทษแบนของ เอียน ไรท์, เดนนิส เบิร์กแคมป์ 2 กองหน้าตัวความหวังปืนใหญ่ ทำให้ดาวรุ่งชาวไลบีเรียต้องออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมที่พบกับโบลตัน ก่อนที่เขาจะระเบิดฟอร์มได้อย่างเหลื่อเชื่อ ทั้งในเกมที่เอาชนะโบลตัน กับ วิมเบอร์ตันได้ 1-0 ในลีก รวมไปถึงนัดที่ชนะวูล์ฟในศึกเอฟเอ คัพ รอบตัดเชือก ส่งผลให้อาร์เซน่อลในปีนั้นคว้าดับเบิ้ลแชมป์ไปครองในท้ายที่สุด

 

  น่าเศร้าที่ เรห์ ค่อยๆหายหน้าไปจากทีมอย่างรวดเร็ว แต่ช่วง 6 สัปดาห์ที่เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 1998 และท่าตีลังกาฉลองประตูก็ยังคงเป็นที่จดจำของเหล่า กูนเนอร์ส ทั่วโลกไม่รู้ลืม

 

 

เลส ซีลี่ย์ (แมนยูไนเต็ด, 1990)

 

 

จิม เลห์ตัน นายทวารคู่บุญที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ดึงมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาก่อนที่อเบอร์ดีน แต่ทว่ามือกาวชาวสก็อตกลับผลงานได้น่าเป็นห่วงมากๆ ทำให้มีข่าวว่าลือว่าสโมสรอาจต้องขายเขาออกไปหลังปิดฤดูกาล

 

ฟางเส้นสุดท้ายของเขาสิ้นสุดลงในเกมที่เสมอกับคริสตัล พาเลซ 3-3 ของนัดชิงเอฟเอ คัพ ปี 1990 ทำให้เฟอร์กี้ตัดสินดร็อป เลห์ตัน เป็นตัวสำรองให้เกมนัดรีเพลย์ และดันให้ เลส ซีลี่ย์ นายทวารมือสองมาทำหน้าที่แทน แม้ตัวเขาแทบไม่ได้ลงเล่นในฤดูกาลนั้นเลยด้วยซ้ำ

 

อย่างไรก็ตาม มือกาวชาวอังกฤษกลับทำผลงานได้ดีเกินคาด เซฟลูกยิงของ เอียน ไรท์ และ มาร์ค ไบรท์ กองหน้าฟอร์มแรงของ พาเลซ ได้ และช่วยให้กุนซือเลือดวิสกี้คว้าแชมป์รายการแรกกับปีศาจแดง อีกทั้งยังช่วยให้ทีมคว้าแชมป์วินเนอร์ส คัพ ได้ในปีต่อมาด้วย ก่อนที่จะถูก ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล แย่งตำแหน่งมือหนึ่งของทีมในฤดูกาล 1991-92

 

 

ไรอัน เบอร์ทรานด์ (เชลซี, 2012)

 

https://www.youtube.com/watch?v=fy6o8–_gY8

 

เชลซีฝ่าด่านเอาชนะ บาร์เซโลน่า ในรอบตัดเชือก และเข้าไปเล่นนัดชิงได้อย่างเหลือเชื่อในแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2011-12 แต่ก็ต้องลำบากไม่น้อย เมื่อนัดชิงดำพวกเขาจะไม่มี จอห์น เทอรรี่, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, ราอูล เมยเรเลส และ รามิเรส ขณะที่ ฟลอรองต์ มาลูด้า ก็ฟิตพอเล่นแค่ตัวสำรองเท่านั้น

 

ท้ายที่สุดทำให้ไรอัน เบอร์ทรานด์ แข้งดาวรุ่งได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรก แถมครั้งนี้ยังเป็นนัดชิงที่พบกับ บาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมจาก เยอรมัน ด้วย โดยแข้งชาวอังกฤษได้ลงประจำการในตำแหน่งปีกซ้าย

 

แต่ดาวรุ่งวัย 22 ปีก็ประสานงานกับ แอชลี่ย โคล ได้เป็นอย่างดี ในการหยุดยั้งเกมรุกของ อาร์เยน ร็อบเบน และ ฟิลิป ลาห์ม ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกไปในนาทีที่ 73 แม้ทีมของเขาจะโดนยิงหลังจากนั้นใน 10 นาทีต่อมา แต่ ดิดิเย่ร ดร็อกบา ก็โหม่งประตูตีเสมอให้ทีมในช่วงท้ายเกมได้ และดวลจุดโทษเอาชนะเสือใต้ คว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ไปครองอย่างยิ่งใหญ่

   

 

โรเจอร์ มิลล่า (แคเมอรูน, 1990)

 

 

กองหน้าจอมเก๋าจากแดนหมอผีไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเลยซักนัดในบอลโลกปี 1990 ที่อิตาลี แต่เขาถูกยกย่องเป็นตำนานในฐานะแข้งซุปเปอร์ซับระดับโลก โดยครั้งแรกเขาลงมายิง 2 ประตูให้แคเมอรูนเอาชนะ โรมาเนีย ในรอบแบ่งกลุ่มไป 2-1 ก่อนจะเหมาอีก 2 เม็ดในเกมที่เอาชนะ โคลอมเบีย รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งเป็นลูกยิงที่แฟนบอลรุ่นใหญ่จดจำได้ดี หลัง มิลล่า แปข้ามตัว เรเน่ ฮิติก้า ไป พร้อมกับโชว์ลีลาโยกย้ายตรงมุมธงสนาม

 

แคเมอรูนไปจอดอยู่แค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังเจอของแข็งอย่างอังกฤษ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สร้างความตกตะลึงให้คนทั่วโลกด้วยการออกนำสิงโตคำรามไปก่อนถึง 2-1 ก่อนจะโดนยิงแซงในช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

 

ไนเจล สปิงค์ (แอสตัน วิลล่า, 1982)

 

 

อดีตนายทวาร เชมสฟอร์ด ซิตี้ ต้องรอคอยนานเกือบ 5 ปีกว่าเขาจะได้ลงเฝ้าเสานักแรกให้กับ แอสตัน วิลล่า และมันกลายเป็นช่วงเวลาสุดดราม่าในเกมนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ ระหว่าง วิลล่า กับ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1982 เมื่อนายทวารมือหนึ่งของสิงห์ผงาด จิมมี่ ริมเมอร์ ได้รับบาดเจ็บ และ สปิงค์ ต้องลงสนามไปแทน

 

ซึ่งมือกาววัย 23 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการเซฟลูกยิงของ เคล้าส์ ออเกนฮาเลอร์ หรือ ‘คิง คัลเล่’ คาร์ล ไฮนซ์ รุมมินิเก้ กองหน้าตัวเก่งของเสือใต้ ก่อนที่ ปีเตอร์ วิธ จะยิงประตูชัยให้วิลล่าเอาชนะไปแบบเซอร์ไพรส์ หลังจากนั้น สปิงค์ก็กลายเป็นมือหนึ่งของทีมในฤดูกาลต่อมา และอยู่ยาวๆถึง 16 ปีในถิ่น วิลล่า ปาร์ค

  

 

ฟิล เนวิลล์ (แมนยูไนเต็ด, 2002)

 

 

แชมป์เก่าอย่างอาร์เซน่อลโดนปีศาจแดงอัดไป 2-0 ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อเดือนธันวาคมปี 2002 ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ฟิล เนวิลล์ ที่ทำหน้าที่กองกลางจำเป็นจะเล่นได้อย่างโดดเด่น และจัดการ พาทริค วิเอเร่า มิดฟิลด์กัปตันทีมของปืนใหญ่ได้อยู่หมัด

 

รวมถึง เธียร์รี่ อองรี กองหน้าตัวเก่งของอาร์เซน่อลก็โดน แข้งลูกหม้อปีศาจแดง อัดจนโชว์ฟอร์มพริ้วไม่ออก และทำได้แค่บ่นกับผู้ตัดสินเท่านั้น ซึ่งความเป็นผู้เล่นสารพัดประโยชน์ของเขาก็ยังดำเนินต่อไปตลอดทั้งฤดูกาล ก่อนจะช่วยให้ยูไนเต็ดทวงแชมป์กลับมาได้ในฤดูกาลนั้น

 

 

พอล วอร์เฮิร์ต (เชฟฟิลด์ เว้นสเดย์, 1992-93)

 

 

อดีตปราการหลังโอลด์แฮมได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในถิ่น ฮิลส์โบโร่อยู่บ่อยครั้ง แต่ทว่าหลังจากที่ พอล วอร์เฮิร์ต ย้ายมาร่วมทีม เชฟฟิลด์ เว้นสเดย์ ในฤดูกาล 1992-93 เขาก็ถูก เทร์เวอร์ ฟรานซิส นายใหญ่ทีมนกฮูก ดันไปเล่นเป็นกองหน้า เนื่องจาก หัวหอกตัวหลักอย่าง เดวิด เฮิรสท์ และ มาร์ค ไบรท์ บาดเจ็บ

 

แต่ผลที่ได้กลับเกินความคาดหมายมาก เมื่อกองหลังผมยาวซัดไปถึง 12 ประตูให้กับเว้นสเดย์ และช่วยให้ทีมเข้าไปเล่นในนัดชิงของบอลถ้วยทั้ง 2 รายการในปี 1993 (เขายังถูกเรียกติดทีมชาติในฐานะกองหน้าด้วย แต่ก็ถอนตัวออกมาเนื่องจากอาการบาดเจ็บ) และหลังจากที่เขามีปัญหากับ ฟรานซิส เรื่องตำแหน่งการเล่น ทำให้ วอร์เฮิร์ต เลือกย้ายไปค้าแข้งกับ แบล็คเบิร์นในซัมเมอร์นั้นแทน ก่อนจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในอีก 2 ปีต่อมา

 

หลังจากนั้น วอร์เฮิร์ต ก็ได้ย้ายไปเล่นให้สโมสรต่างมากมายทั่วประเทศ และถูกโยกตำแหน่งไปเล่นเป็นกองกลางประจำทีมเลยด้วยซ้ำ ตกลงนายเป็นกองหลังจริงๆใช่มั้ย,วอร์เฮิร์ต?

 

 

จอห์น แม็คกินเลย์ (โบลตัน, 1996)

 

 

ในค่ำคืนที่เสียงอื้ออึงดังกึกก้องไปทั่วสนามเบิร์นเดน ปาร์ค จอห์น แม็คกินเลย์ กองหน้าของโบลตันซัดประตูให้ทีมขึ้นเร้ดดิ้ง 2-1 แต่ไม่นานนักเขาก็ต้องกลายเป็นนายทวารจำเป็น หลัง คีธ บรานาแกน ถูกไล่ออกฐานเจตนาทำแฮนด์นอกกรอบเขตโทษในครึ่งหลัง 

 

แต่แข้งชาวสก็อตที่มีความสูงราวๆ 175 เซนติเมตร กลับโชว์ฟอร์มได้ดีแบบไม่น่าเชื่อ และเซฟประตูแบบอุตลุดในช่วง 26 นาทีสุดท้าย ซึ่งหลังจบเกม โคลิน ท็อดด์ กุนซือ เดอะ ทร็อตเตอร์ส ได้ออกมายกย่อง แม็คกินเลย์ ว่าเป็นดั่งฮีโร่ของเขา และเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยเห็นในกีฬาฟุตบอลเลยทีเดียว

 

 

เจฟฟ์ เฮิร์สต์ (อังกฤษ, 1966)

 

 

กูรูลูกหนังต่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่า อัลฟ์ แรมซี่ย์ ทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในบ้านเกิดได้แน่ๆในปี 1966 แต่ก็เชื่อว่ากองหน้าระดับตำนานของท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์อย่าง จิมมี่ กรีฟส์ จะเป็นนักเตะคนสำคัญที่ช่วยให้สิงโตคำรามได้ชูถ้วยจูลส์ ริเมต์ ไปครอง

 

แต่หัวหอกไก่เดือยทองกลับทำประตูไม่ได้เลย แถมยังบาดเจ็บที่หน้าแข้งให้เกมนัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับ ฝรั่งเศส อีก ทำให้ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ได้ลงเป็นตัวจริงแทนในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับอาร์เจนติน่า ซึ่งกองหน้าเวสต์แฮมก็ไม่ทำให้แฟนบอลแดนผู้ดีผิดหวังเมื่อเขายิงประตูโทนในเกมนั้นให้อังกฤษผ่านเข้ารอบตัดเชือกได้สำเร็จ 

 

แม้ตัวของ จิมมี่ กรีฟส์ จะหายกลับมาแล้ว แต่แรมซีย์ก็ยังเลือกให้ เฮิร์สต์ เป็นตัวหลักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแข้งขุนค้อนก็ตอบแทนความไว้ใจนั้นด้วยการทำแฮตทริกในนัดชิงที่เอาชนะเยอรมันตะวันตกไป 4-2 และช่วยให้อังกฤษคว้าแชมป์โลกมาครองอย่างสวยงาม