ไม่ไว้หน้า! 10 แข้งบิ๊กเนม ที่ เรอัล มาดริด เททิ้งแบบไร้ปรานี

 

อนาคตของ เซร์คิโอ รามอส ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถาม จากการที่สัญญาของเขาใกล้จะหมดลง รวมถึง ลูก้า โมดริช เองก็เช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา ราชันชุดขาวไม่ค่อยเก็บนักเตะไว้ให้แขวนสตั๊ดเป็นตำนานกับทีมไม่ว่าจะเด่นดังแค่ไหนก็ตาม และไม่แน่ว่าอนาคตของทั้งคู่็อาจจะโดนปล่อยตัวไปแบบไม่ใยดีเช่นกัน

 

วันนี้ UFA ARENA จะมานำเสนอบรรดานักเตะดาวดังที่สร้างผลงานให้กับทีมมามากมาย แต่ก็ยังโดน เรอัล มาดริด เททิ้งแบบไร้ความปรานี

 

ราอูล กอนซาเลส

ดาวยิงผู้ถูกยกให้เป็นเจ้าชายแห่งราชันชุดขาวที่ถูกปั้นขึ้นมาจากอคาเดมี่ของทีม เขาคือนักเตะสตาร์ของทีม เป็นไอค่อนของทีม และนับเป็นตำนานของทีมคนนึง ซึ่งเขาเป็นนักเตะไม่กี่คนที่สโมสร มอบสัญญาตลอดชีวิตให้เมื่อปี 2008 เขาถือเป็นนักเตะที่สโมสรปฏิบัติดีที่สุดแล้วในบรรดาลลิสต์นี้

 

แต่หลังจากนั้นในยุคของ มานูเอล เปเยกรินี่ นายใหญ่ของทีมที่เพิ่งเข้ามาคุมทีมในปี 2009 เลือกเมินใช้งานดาวเตะรายนี้ เนื่องจากอายุที่เลยเลข 3 มาแล้ว ทำให้เขากลายเป็นตัวสำรองไปถึง 22 ครั้ง จาก 30 นัดที่เขาลงเล่นในลาลีกา ทำให้เขารู้สึกว่าทบาทของเขามันน้อยลงไป ก่อนจะต้องจำใจย้ายทีมเพื่อหาโอกาสลงเล่น

 

ส่วน เปเยกรินี่ ก็คุมทีมได้แค่ฤดูกาลเดียวก็โดนเด้ง จากการที่ไม่ได้แชมป์รายการใดเลยมาครอง แถมยังเสียกองหน้าที่นับว่าดีที่สุดของทีมออกไปอีกด้วย ซึ่ง ราอูล เองก็ออกไปคว้าความสำเร็จกับ ชาลเก้ ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ เดเอ็ฟเบ-โพคาล และ เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ ก่อนย้ายไปค้าแข้งที่กาตาร์ต่อไป

 

โดยในช่วงที่เขาค้าอยู่กับ อัลซาดด์ ที่กาตาร์ ทัพราชันชุดขาว ก็เชิญเขากลับมาจัด เทสติโมเนียล แมตช์ เพื่อเป็นเกียรติให้กับเขา นับเป็นนักเตะไม่กี่คนที่ยอดทีจากกรุงมาดริด ปฏิบัติด้วยดีมากที่สุด แม้จะต้องจากกันด้วยความเจ็บปวด แต่ก็เป็นการจากกันตามวิถีของฟุตบอล

 

เฟร์นันโด เรดอนโด 

กองกลางตัวรับที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ปิดทองหลังพระ โชว์ฟอร์ได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงปี 1994-2000 ซึ่งเกมที่เขาเลนได้โดดเด่นที่สุดนัดนึงก็คือเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายขอศึกแชมเปี้ยนส์ลีก ที่ราชันชุดขาว เจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด และสุดท้ายก็พาทีมไปไกลถึงการเป็นแชมป์

 

แต่หลังจากนั้น เรอัล มาดริด มีควาเมปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับการเลือกตั้งประธานสโมสร ซึ่งในเวลานั้นเป็น โลเรนโซ ซันซ์ ที่รับตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 1995 ซึ่งตัว เรดอนโด ให้การสนับสนุน ซันซ์ ที่พาทีมประสบความสำเร็จมากมายจากการบริหารงาน แต่สุดท้ายแล้วก็เป็น ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่ชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น 

 

ซึ่งด้วยนโยบายกลาติกอสที่ต้องการนักเตะระดับสตาร์ดังมาประดับทีม นักเตะปิดทองหลังพระแบบ เรดอนโด แน่นอนว่าไม่อยู่ในสายตา ประกอบกับที่เจ้าตัวสนับสนุนประธานคนก่อนเต็มที่ ทำให้เจ้าตัวโดนขายทิ้งไปให้กับ เอซี มิลาน ด้วยค่าตัวเพียงแค่ 11 ล้านยูโรเท่านั้น เล่นเอาแฟนบอลถึงกับไม่พอใจและมาประท้วงกันเลยทีเดียว กับการขายนักเตะผู้พาทีมคว้าแชมป์ และอยู่กับทีมมาถึง 6 ปี

 

เฟร์นันโด อิเอร์โร

หนึ่งในกัปตันทีมที่อยู่กับสโมสรเป็นระยะเวลากว่า 14 ปี ตั้งแต่ปี 1989-2003 แต่หลังจากพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกาในฤดูกาล 2002/03 ด้วยนโยบาย กลาติกอส ของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรทำให้ทีมต้องหาที่ว่างสำหรับสตาร์ตัวใหม่ ซึ่งแข้งชาวสเปนในเวลานั้นก็อายุมากถึง 34 ปีเข้าไปแล้ว

 

ประกอบกับในเวลานั้นมีข่าวลือออกมาว่าในงานฉลองแชมป์ลาลีกาฤดูกาลดังกล่าว อิเอร์โร่ และ เปเรซ เกิดการโต้เถียงกันอย่่างหนัก ทำให้ ราชันชุดขาวตัดสินใจปล่อยตัวเขาไปแบบฟรีๆ แม้ในภายหลัง อิเอร์โร่ จะมาเปิดเผยว่าตัวเงไม่ได้แค้นอะไร เปเรซ อีกต่อไปแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นการจากกันแบบไม่สวยนัก

 

โคล้ด มาเกเลเล่

อีกหนึ่งกองกลางผู้ปิดทองหลังพระ พอๆกับในรายของ เฟร์นันโด เรดอนโด และเป็นอีกหนึ่งการปล่อยตัวจากนโยบาย กลาติกอส ซึ่ง เปเรซ มองว่ากองกลางแบบ มาเกเลเล่ ที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรสามารถหาใหม่ได้ตลอด ประกอบกับการที่ตัวนักเตะไปขอขึ้นค่าเหนื่อย ทำให้เขาตัดสินใจขายแข้งรายนี้ทิ้ง แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น

 

ซึ่งการปล่อยตัวดาวเตะชาวฝรั่งเศส ราชันชุดขาวก็ไปดึงตัว เดวิด เบคแฮม ที่เวลานั้นโด่งดังแบบสุดๆไม่มีใครไม่รู้จักเขา ตรงตามนโยบายกลาติกอส ในขณะที่ มาเกเลเล่ โดนปล่อยไปที่ เชลซี ด้วยค่าตัว 16.5 ล้านปอนด์ ทำเอาซีเนดีน ซีดาน หนึ่งในสตาร์ของทีมในเวลานั้นถึงกับออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยว่า “เราจะพ่นสีทองใส่รถเบนท์ลี่ย์ไปเพื่ออะไร ในเมื่อคุณเสียเครื่องยนต์ของมันไปแล้ว”

 

ซึ่งหลังจากที่ดาวเตะเลือดน้ำหอมย้ายออกไปในปี 2003 มาดริดก็ต้องรอถึงปี 2006/07 กว่าจะได้กลับมาคว้าแชมป์อีกครั้ง ส่วนตัวนักเตะที่ย้ายออกไปก็ไปประสบความสำเร็จอย่างมากมายกับ สิงห์บลู ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปกับ เปแอสเชในปี 2011

 

อิบัน เอลเกร่า

ปราการหลังชาวสเปน ใช้เวลากว่า 8 ปี ในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว พาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา 3 สมัย, แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัย แต่ฤดูกาลสุดท้ายของเจ้าตัวกลับถูกทีมเขี่ยทิ้งแบบไม่ใยดี หลังจากที่ทีมไปคว้าตัว มาฮามาดู ดิยาร์ร่า มาจาก ลียง และถูกวางตัวให้เป็นตัวหลักของทีม

 

โดยความโหดร้ายที่ราชันชุดขาวทำกับดาวเตะรายนี้อย่างแรกคือการยึดเบอร์ 6 ของเขาไปให้กับ ดิยาร์ร่า แถมส่งเขาไปเล่นกับทีมเยาวชน และไม่มีส่วนร่วมกับทีมชุดใหญ่เลย แม้เจ้าตัวจะพยายามจนได้กลับมาติดทีมอีกครั้งและสามารถพาทีมคว้าแชมป์ ลาลีกาได้ แต่สุดท้ายก็โดนปล่อยตัวไปให้ บาเลนเซียจนได้

 

กอนซาโล่ อิกวาอิน

แข้งชาวอาร์เจนไตน์เป็นนักเตะที่โดนดึงจาก ริเวอร์เพลท มาอยู่กับ เรอัล มาดริด และได้ลงเล่นให้กับทีมเป็นเวลา 7 ฤดูกาล ซึ่งก็ทำประตูได้ไม่น้อยหน้าเพื่อนร่วมทีมอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ คาริม เบนเซม่า เลย แต่อยู่ๆเจ้าตัวก็โดนปล่อยตัวไปให้กับ นาโปลีในปี 2013 ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลแนวๆเดียวกับสตาร์คนก่อนๆที่ต้องย้ายออกไปเพื่อต้อนรับสตาร์คนใหม่ โดยในครั้งนี้เป็น แกเร็ธ เบล ที่ย้ายมาจาก สเปอร์ส

 

หลังจากนั้นทางพ่อของตัวนักเตะอย่าง ฮอร์เก้ อิกวาอิน ก็ออกมาจวกทาง เรอัล มาดริด ว่าบีบให้ลูกชายของตนต้องย้ายออกจากถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ว่า”ผมเจ็บปวดมากๆ กับแนวทางที่เขาต้องออกจาก มาดริด มันเป็นสิ่งที่ประธานสโมสรเป็นคนทำ บางที เปเรซ คงไม่ชอบเขา ผมคิดว่าพวกเขาประสบความสำเร็จมากมายร่วมกับ (คาริม) เบนเซม่า, คริสเตียโน่ (โรนัลโด้) และ กอนซาโล่ ร่วมกัน ตอนที่ทั้ง 3 คนเล่นท็อปฟอร์มให้มาดริด พวกเขาทำสถิติยิงประตูถล่มทลาย กอนซาโล่น่าจะได้อยู่กับ เรอัล มาดริดนานกว่านี้”

 

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 

หนึ่งในสตาร์ตัวชูโรงที่สุดในช่วงยุค 2009 -2018 ก่อนที่เจ้าตัวจะย้ายไปที่ ยูเวนตุส แข้งชาวโปรตุกีส ก็ฝากผลงานทั้งกับสโมสร และกับตัวเองไว้มากมาย การย้ายออกจากทัพราชันชุดขาว นับเป็นเรื่องช็อคแฟนบอลอย่างมาก ซึ่งปัญหาเกิดจากเรื่องภายในอย่างชัดเจน

 

เพราะหลังจากที่ย้ายออกไป CR7 ก็ได้ออกมาพูดถึงประธานสโมสรอย่าง ฟลอเรนิโน่ เปเรซ ว่า “ผมรู้สึกมาจากข้างในสโมสร โดยเฉพาะจากประธาน ว่าไม่เป็นที่ต้องการเหมือนกับตอนแรกอีกต่อไป”

 

“ในตอน 4-5 ปีแรกผมรู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเอง และหลังจากนั้นประธานสโมสรมองมาที่ผม ผมไม่อยากที่จะพูดอะไร เพราะรู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้ว ผมเลยคิดทบทวนเรื่องการย้ายออกจากทีม บางครั้งผมอ่านข่าวเรื่องการย้าย และผมรู้สึกว่าประธานสโมสรไม่ได้คิดจะรั้งผมไว้เลย”

 

ทางฝั่ง เปเรซ เองก็ออกมาสวนกลับว่า “เราไม่ต้องการขายเขา แต่เขาต้องการที่จะไปด้วยเหตุผลส่วนตัว และเราเข้าใจตรงนั้น สำหรับสิ่งดีๆที่เขาได้ทำมาทั้งหมด เราต้องเปิดประตูให้เขา”

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเมื่อปี 2019 ทั้งสองทีมก็ได้มาเจอกันอีกครั้งที่งานรับรางวัล “มาร์ก้า เลเยนด้า” ซึ่งทั้งสองคนก็ได้พูดคุยและกอดกันแบบแฮปปี้ และโรนัลโด้เองก็ทิ้งท้ายไว้ว่า  “ผมเองก็เสียใจเหมือนกันที่ต้องย้ายจาก มาดริด”

 

เมซุต โอซิล

แม้จะอยู่กับทีมแค่ 3 ปี แต่การปล่อยตัวเพลย์เมคเกอร์ชาวเยอรมันออกไปจากทีมทำให้นักเตะหลายรายในทีมไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะในเวลานั้นเจ้าตัวกำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในลีกตลอด 3 ฤดูกาลที่อยู่กับทีม และถือเป็นคู่หูที่รู้ใจสำหรับ คริสเตีโน่ โรนัลโด้

 

และแน่นอนว่านี้คืออีกหนึ่งกรณีที่ถูกปล่อยตัวไปเพราะมีสตาร์ตัวใหม่เข้ามา ซึ่งในีนั้นมีทั้ง แกเร็ธ เบล และ อิสโก้ ที่อยู่ในตำแหน่งเกมรุกนั่นทำให้บรรดานักเตะออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่าง เซร์คิโอ รามอส ก็เผยว่า “หากผมมีบทบาทที่ มาดริด โอซิล จะเป็นหนึ่งในนักเตะคนสุดท้ายที่จะต้องไป”

 

ขณะที่ อัลบาโร่ อาร์เบลัว ก็สำทับเช่นกันว่า “เขามาบอกลา ผมเมื่อวันอาทิตย์ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก โอซิล แตกต่างจากคนอื่นๆ ไม่มีใครในโลกที่จะเหมือนเขาอีกแล้ว มันน่าเศร้า และเป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของเราจริงๆ” รวมถึง โชเซ่ มูรินโญ่ อดีตนายใหญ่ของทีมที่เพิ่งออกไปคุม เชลซี ก็แสดงความเห็นว่า “เขาเป็นนักเตะที่มีความพิเศษไม่เหมือนใคร เขาคือผู้เล่นหมายเลข 10 ที่ดีที่สุดในโลก”

 

แต่คู่หูอย่าง CR7 แม้จะไม่ได้ออกมาพูดผ่านสื่อโดยตรง แต่ตามรายงานของสื่อในประเทศสเปนก็ระบุว่าแข้งชาวโปรตุกีส ก็ไปพูดกับเพื่อนร่วมทีมชาติว่า “การขายโอซิลเป็นข่าวร้ายที่สุดสำหรับผม เขาเป็นนักเตะที่รู้จังหวะการเคลื่อนที่หน้าประตูของผมดีที่สุด ผมโกรธนะที่โอซิลย้ายออกไป”

 

เคย์เลอร์ นาบาส

นี้คืออีกหนึ่งตัวอย่างของนักเตะที่ทำผลงานให้กับสโมสรมากมาย นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับทีมเมื่อปี 2014 พร้อมแย่งตำแหน่งจากทั้ง อิเคร์ กาซิยาส และ ดิเอโก้ โลเปซ แต่ด้วยความที่เขาไม่ได้มีราศีความเป็นสตาร์ดัง ทำให้ทาง มาดริด พยายามหาตัวนายทวารดังๆมาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็น ดาบิด เดเกอา หรือ ธิโบต์ กูร์ตัวส์ ทั้งที่ถ้าเทียบฟอร์มกัน นาบาส ก็ไม่ได้แพ้ใครในรายชื่อนี้

 

สุดท้ายแล้วมือกาวชาวเบลเยี่ยม ก็ได้ย้ายมาสู่ถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว พร้อมเข้ามาแย่งตัวจริงจาก นาบาส ทันที แม้ฟอร์มจะไม่ได้ดีในช่วงปีแรก แต่ก็ถูกเข็นลงตลอด โดยตัว นาบาส ได้ลงสนามไปเพียง 21 นัดจากทุกรายการเท่านั้น จนสุดท้ายจอมหนึบชาวคอสตาริกา ก็โดนปล่อยไปเฝ้าเสาให้กับ เปแอสเช เมื่อฤดูกาล 2019/20 ที่ผ่านมา

 

อิเกร์ กาซิยาส

ครั้งนี้นับว่าเป็นการอำลาที่เจ็บปวดที่สุดในบรรดานักเตะราชันชุดขาว สำหรับเคสของ กาซิยาส ที่เติบโตมาจากอคาเดมี่ของสโมสร ก่อนใช้เวลาตลอด 16 ปีเฝ้าเสาให้กับทีมชุดใหญ่ และหลายฝ่ายก็คาดว่าเขาจะอยู่โยงเป็นตำนานของสโมสร ด้วยตำแหน่งผู้รักษาประตูที่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าตำแหน่งอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นแบบนั้น

 

จุดเริ่มต้นมันมาจากการที่ในช่วงเวลานั้น เกมเอล กลาซิโก ระหว่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด อยู่ในจุดที่เดือดขั้นสุด จนนายทวารเลือดกระทิงดุเป็นกังวลว่าจะส่งผลถึงทีมชาติสเปน จึงนัดคุยกับแข้งต่างดาว นั่นทำให้กุนซือราชันชุดขาวในเวลานั้นอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่พอใจอย่างมากที่จอมหนึบกัปตันทีมทำแบบนั้น

 

ซึ่งเรื่องดังกล่าวมันก็ไม่ได้ปะทุขึ้นมาทีเดียว แต่เมื่อฤดูกาล 2012/13 กาซิยาส เจออาการบาดเจ็บกระดูกมือร้าว นายใหญ่จอมอหังการ ก็สบโอกาสดึงตัว ดิเอโก้ โลเปซ มาเฝ้าเสาแทนและด้วยความที่ โลเปซ ทำผลงานได้ดีด้วย ทำให้ กาซิยาส ไม่ได้รับโอกาสอีกเลยในยุคของ มูรินโญ่ ที่เหลือ นั่นทำให้ฟอร์มของเขายิ่งตกลงไปมาก แม้จะเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น คาร์โล อันเชล็อตติ เขาก็ยังยึดตัวจริงคืนมาไม่ได้

 

จนสุดท้ายแล้ว กาซิยาส ก็ต้องย้ายออกจากถิ่น ซานติอาโก เบร์นาเบว และภาพที่ทำให้แฟนบอลปวดใจอย่างมากเกิดขึ้นในวันสุดท้ายของเขากับทีม เมื่อกัปตันชาวสเปน ออกมาแถลงข่าวอำลาทีมทั้้งน้ำตา เพื่อย้ายไปเอฟซี ปอร์โต้ ปิดฉาก 25 ปี นับตั้งแต่เป็นนักเตะเยาวชนของทีมไปแบบเจ็บปวดที่สุด

 

แม้จะจบลงไม่สวยนัก แต่ด้วยความรักที่มีต่อทีมทำให้ปัจจุบัน เขากลับมารับงานในฐานะรองประธานมูลนิธิเรอัล มาดริด เพื่อทำหน้าที่ทูตสโมสร ให้ความช่วยเหลือกับเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ส่วนกับ มูรินโญ่ ทั้งคู่ก็คืนดีกันเรียบร้อยแล้ว