137ปีที่รอคอย : ความฝันที่ถึงวันสำเร็จของ เลสเตอร์ ซิตี้

 

“Our dreams can come true if we have the courage to pursue them”

“ความฝันจะเป็นจริงได้ หากเรามีความกล้าพอที่จะไล่ล่ามัน”

 

นี่คือเวิร์ดที่อยู่ในป้ายผ้าของ คุณ วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ผู้ล่วงลับ ที่แฟนบอล “เดอะฟ็อกซ์” นำมาติดป้ายในสนาม เวมบลีย์  ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่ทัพ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ดวลกับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

 

 

เป็นเวลากว่า 20 เดือนแล้วที่ คุณวิชัย ได้จากไปจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่หน้าสนาม คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ซึ่งนับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของสโมสรแห่งนี้ ก่อนที่ “คุณต๊อบ”  อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ลูกชายของเขาจะก้าวขึ้นมาสานต่อทำหน้าที่นี้แทนคุณพ่อ

 

 

จากทีมเทพนิยาย 5000/1 ที่น่าเหลือเชื่อมากที่สุดเรื่องหนึ่งในวงการกีฬา ด้วยการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2016  ทีมได้เสียแข้งระดับแกนหลักไปหลายรายจนแทบจะหมดไปไม่ว่าจะเป็น  ริยาด มาห์เรซ ,เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ,เบน ชิลเวลล์ ,แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ จนมาถึง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (เข้ามาอยู่กับทีมหลังได้แชมป์หนึ่งปี)

 

 

ส่วนแข้งจากทีมชุดนั้นที่ยังหลงเหลือก็ยังมีทั้ง แคสเปอร์ ชไมเคิล และ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ปัจจุบันยังเป็นแกนหลักของทีม รวมไปถึง มาร์ค อัลไบรท์ตัน และ เวส มอร์แกน ที่ยังมีชื่อสำรองอยู่ในทีมชุดนี้เช่นกัน

 

 

อย่างไรก็ตามด้วยทีมบริหารที่ยอดเยี่ยม  ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นสโมสรที่เดินหน้าพัฒนาไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นซึ่งในปัจจุบันสโมสรก็ผลัดใบมาจนมีแข้งอย่าง เวสลีย์ โฟนาน่า ,คักลาร์ โซยุนชู ,ทิโมธี คาสตานเย่ ,วิลฟรีด เอ็นดิดี้ ,ยูริ ตีเลมานส์ ,อโยเซ่ เปเรซ และ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมยุคใหม่

 

 

สำคัญที่สุดคือการมาของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่เข้ามาเป็นกุนซือตั้งแต่ปี 2019 และขัดเกลาทีมชุดนี้ให้กลับมาเข้าล็อคได้อย่างลงตัว จนทุกอย่างก็เริ่มเห็นผลเต็มที่ในฤดูกาลนี้ด้วยการสร้างผลงานสุดยอดในพรีเมียร์ลีก หลังแหวกโผขึ้นมายึดอันดับ 3 จ่อคว้าตั๋วไปเตะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า นอกจากนั้นยังพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ

 

ก่อนหน้านี้ เลสเตอร์ ซิตี้ นั้นเคยเข้ามาถึงรอบ ไฟนอล เอฟเอ คัพ มาแล้วถึง 4 ครั้งด้วยกันคือปี 1949 ,1961 ,1963 และ 1969 อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถก้าวผ่านเข้าไปถึงความสำเร็จได้เลย

 

 

แม้ว่าชื่อชั้นของทัพ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” อาจจะเป็นรอง แต่ลูกทีมของ ร็อดเจอร์ส ก็เล่นแบบไม่ได้เกรงกลัวบารมีทีมที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลนี้อย่าง เชลซี แม้แต่น้อย

 

จนกระทั่งพวกเขาทำมันได้สำเร็จ จากลูกยิงไกลสุดสวยเป็นประตูชัยระยะกว่า 30 หลาของ ยูริ ตีเลอมานส์ ในช่วงผ่านพ้นหนึ่งชั่วโมง ทำให้จบเกมเอาชนะไป 1-0  สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์รายการนี้ครั้งแรกในรอบ 137 ปี และเป็นแชมป์แรกในรอบ 5 ปีของสโมสร นับตั้งแต่ชูถ้วยพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อปี 2016

 

 

หากพิจารณาจากผลงานในสนามตลอด 95 นาที ต้องยอมรับว่าเกมนี้ทัพ “สิงห์บูล์ส” ของ โธมัส ทูเคิล นั้นรูปเกมไม่ได้เป็นรองแม้แต่น้อย พวกเขาครองบอลได้มากกว่าถึง 64 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงโอกาสทำประตูที่มากถึง 13 ครั้ง แถมยังมีโอกาสทองเกิดขึ้นมากมาย

 

โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่ตามหลัง 0-1 “สิงห์บูล์ส” นั้นได้ลุ้นตีเสมอเน้นๆไม่ว่าจะลูกโหม่งของ เบน ชิลเวลล์ หรือ ลูกยิงเน้นๆของ เมสัน เมาท์ แต่สุดท้าย แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล นายทวารของ เลสเตอร์ ก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า เขาคือลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น และสามารถหยุดบอลไม่ให้เข้าไปสู่ก้นตาข่ายได้ทั้งหมด

 

 

“ผมภูมิใจมากๆ นี่คือวันประวัติศาสตร์ของสโมสร การได้แชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรก แน่นอนว่า มันเป็นวันที่มีความพิเศษมากๆ ผมแฮปปี้แทนลูกทีม และคุณต๊อบ รวมถึงครอบครัวของเขา ผมรู้ว่า นี่คือความฝันของคุณ วิชัย ซึ่งเราก็จัดให้เรียบร้อยในวันนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

 

 

นั่นคือคำกล่าวของร็อดเจอร์ส ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขารู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่สามารถทำให้ความฝันของ คุณ วิชัย กลายเป็นความจริงอีกครั้ง

 

 

ความสำเร็จในครั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นการจุดประกายความหวังให้กับสโมสรทั่วโลกอีกครั้ง ว่าพวกคุณไม่จำเป็นต้องเป็นทีมที่มีเงินทุนหนา หรือมีนักเตะระดับบิ๊กเนมอยู่ในทีม แต่หากเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เล่นกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เหมือนคำที่กล่าวที่อยู่ในรูปของ คุณ วิชัย ที่บอกเอาไว้ข้างต้น “ความฝันจะเป็นจริงได้ หากเรามีความกล้าพอที่จะไล่ล่ามัน”

 

 

ใช่ครับวันนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ทำมันให้ทุกคนได้เห็นอีกครั้งแล้ว

 

        DaboyG