16 ปีที่รอมานาน : เมสซี่ กับเส้นทางสู่แชมป์แรกกับทีมฟ้าขาว

เมสซี่

 

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ลิโอเนล เมสซี่ คือนักเตะเบอร์ต้นๆของโลกเคียงข้างกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงจากยูเวนตุส ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา และมีการเปรียบเทียบจากแฟนบอลทั้ง 2 ฝั่งอยู่เสมอว่าใครยอดเยี่ยมกว่ากัน

ในระดับสโมสร เดาวเตะจากบาร์เซโลน่า คว้าโทรฟี่ทุกรายการที่ลงเล่น ทั้งแชมป์ลาลีก้า สเปน, แชมป์โคปา เดล เรย์, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือ แชมป์สโมสรโลก ไม่ต่างจากที่กัปตันทีมชาติโปรตุเกสทำได้ และทุบสถิติต่างๆมากมายในวงการลูกหนัง จนเรียกว่าเป็นนักเตะระดับตำนานที่ยังหายใจอยู่ก็คงจะได้

แต่สิ่งที่เป็นตราบาปที่ติดอยู่ในใจของ เมสซี่ มากที่สุดในอาชีพค้าแข้งคือการที่เขาไม่สามารถพาอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์เมเจอร์ได้เลยนับตั้งแต่ประเดิมทีมชาติครั้งแรกในปี 2005 และมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำผลงานได้ย่ำแย่ไม่เหมือนในระดับสโมสร ซึ่งแตกต่างจาก CR7 ที่ประสบความสำเร็จในทีมชาติโปรตุเกสคว้าแชมป์ยูโรได้ในปี 2016 และแชมป์ยูฟ่า เนชั่นส์ลีกใน 2019

 อย่างไรก็ตาม เรื่องค้างคาใจของ แข้งอัจฉริยะวัย 34 ปี ก็สิ้นสุดลง หลังคว้าแชมป์แรกกับทัพ ‘ฟ้าขาว’ ได้สำเร็จ ในรายการระดับทวีปอย่างโคปา อเมริกา 2021 โดยเอาชนะ บราซิลคู่อริตลอดกาลในนัดชิงชนะเลิศ 1-0 จากประตูโทนขอ อังเคล ดิ มาเรีย

ทาง UFA ARENA จึงขอพาทุกท่านไปย้อนดูเส้นทางค้าแข้งของเมสซี่ในทีมชาติ ว่าเขาจะต้องพบเจอกับความผิดหวังมามากยมายแค่ไหนตลอดเวลา 16 ปีที่ผ่านมากว่าจะคว้าแชมป์ในทีมบ้านเกิดได้สมดั่งใจหวัง 

 

ว่าที่ดาวดวงใหม่

ด้วยการที่อยู่ในสเปนตั้งแต่อายุ 13 ขวบ ทำให้ลิโอเนล เมสซี่ สามารถเลือกเล่นให้ทีม’กระทิงดุ’ ได้ แต่ทว่าเขาก็เลือกเล่นให้กับชาติบ้านเกิดอย่าง อาร์เจนติน่า แบบไม่ลังเลใจและโชว์ฟอร์มเด่นตั้งแต่ตอนที่เล่นทีม ‘ฟ้าขาว’ ชุดอายุต่ำกว่า 20 ปี

อาการขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตทำให้ดาวเตะร่างเล็กขาดพละกำลังเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมทีมในรุ่นเดียวกัน แต่เขาก็มุ่งมั่นพัฒนาฝีเท้าและร่างกายจนติดชาติอาร์เจนติน่าชุดเล็กเพื่อสู้ศึกฟุตบอลโลกรุ่น U-20 ซึ่งก็คือฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลก เมื่อปี 2005

เขาเริ่มต้นทัวร์นาเม้นต์ได้ดีระดับนึงและพาทีม ‘ฟ้าขาว’ ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มมาได้ แต่ทว่าฟอร์มการเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ต่างหากที่ทำให้เขาฉายแววว่าที่นักเตะระดับโลก ช่วยให้บ้านเกิดเอาชนะตัวเต็งอย่างสเปน หรือ บราซิล ก่อนจะเอาชนะไนจีเรียได้ในนัดชิงชนะเลิศ 2-1 คว้าแชมป์รายการนี้ในสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ลูกหม้อจากบาร์เซโลน่ายังคว้ารางวัลดาวซัลโว (6 ประตู) และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมในทัวร์นาเม้นต์นั้นมาครองด้วย

 

ประเดิมฝันร้ายในนัดแรก

หลังจากเป็นฮีโร่ของทัพ ‘ฟ้าขาว’ ชุดเล็ก ทำให้เมสซี่ได้โอกาสติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปีเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 18 ปี ซึ่งมี โฮเซ เปเกร์มัน เป็นกุนซืออยู่ ณ ตอนนั้น โดยเขาได้ประเดิมสนามเป็นนัดแรกในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับฮังการี 

ตัวรุกร่างเล็ก ถูกเปลี่ยนตัวลงไปในนาทีที่ 63 แทนที่ ลิซานโดร โลเปซ และหลังจากที่สัมผัสฟลอร์หญ้าได้แค่ 2 นาที เขาเหวี่ยงแขนใส่ไปโดน วิลมอส วานช์ซัค แบ็คของฮังการีที่พยายามฉุดกระชากลากดึงอย่างชัดเจน แต่ทว่ากรรมการในเกมนั้นมองว่า ดาวรุ่งชาวอาร์เจนไตน์เจตนาทำร้ายคู่แข่งทำให้เขาได้รับใบแดงไล่ออกจากสนามทันที มีรายงานหลังเกมนั้นว่า เมสซี่ผิดหวังมากๆถึงขั้นร้องไห้ในห้องแต่งตัวเลย

อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มจาก โรซาริโอ ก็กลายเป็นขาประจำในทีมชาติอาร์เจนติน่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ช่วยให้ ‘ฟ้าขาว’ ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่เยอรมันในปี 2006 ได้ และกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของทีมชาติที่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลก น่าเสียดายที่เขาไม่มีส่วนร่วมเลยในเกมที่พ่ายจุดโทษแก่เจ้าภาพในรอบ 8 ทีมสุดท้าย 

 

อกหักครั้งที่ 1

ปี 2007 อาร์เจนติน่าคือหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์โคปา อเมริกา ซึ่งมีคุมกำลังที่แข็งแกร่งทุกตำแหน่งตั้งแต่กองหลังแดนหน้า โดยมี ฮวน โรมัน ริเกลเม่ เป็นจอมทัพของทีม แต่ในขณะเดียวกัน เมสซี่ ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจขึ้นเรื่อยๆในรายการนั้น

ดาวรุ่งจากบาร์เซโลน่ายิงประตูได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับเปรู และรอบตัดเชือกกับเม็กซิโกได้ และพบกับคู่แค้นตลอดกาลในละตินอเมริกาอย่างบราซิลในรอบชิงชนะเลิศ แต่สุดท้าย เขาก็ต้องผิดหวังในนัดชิงดำ เมื่อพ่ายกับทัพเ ‘ซเลเซา’ ชุดที่แทบไม่มีสตาร์ดังไปแบบหมดสภาพ 3-0 แต่เขาก็ได้รางวัลปลอบใจเป็นแข้งดาวรุ่งยอดเยี่ยมในรายการนั้นไป 

แต่ถ้าเลือกได้จริงๆ เขาคงอยากชูถ้วยรางวัลกับเพื่อนร่วมทีมมากกว่ารางวัลส่วนตัวแบบนี้ และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เจ้าตัวต้องผิดหวังในระดับทีมชาติอย่างแน่นอน

 

ฝืดสนิทในทีมชาติ

ถัดมาอีกปี เมสซี่ก็พอจะล้มล้างความผิดหวังจากนัดชิงบอลทวีปมาได้บ้าง หลังพาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ที่ ปักกิ่ง ประเทศจีน ร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง เซร์กิโอ้ อเกวโร่, อังเคล ดิ มาเรีย หรือ เอเวร์ บาเนก้า

หลังจากนั้น เขาก็ก้าวขึ้นไปเป็นนักเตะระดับโลกอย่างเต็มตัว เมื่อพาบาร์เซโลน่าคว้าทริปเปิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พร้อมทำสถิติต่างๆมากมาย จนใครๆหลายคนคิดว่าแข้งหนุ่มคนนี้จะต้องพาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้อย่างแน่นอน หลังได้ชูถ้วยนี้ครั้งสุดท้ายในปี 1986 ยุคของ ‘เสือเตี้ย’ ดีเอโก้ มาราโดน่า รุ่นพี่ระดับตำนานในทีมชาติ 

แต่ความคาดหวังในหลายๆครั้งมันก็ไม่กลายเป็นเรื่องจริงเสมอไป เมสซี่ทำผลงานในทีมชาติ ได้แตกต่างจากใน บาร์เซโลน่า และไม่สามารถฝากความหวังไว้เลย จนเกือบอดไปเล่นฟุตบอลโลกปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ ด้วยซ้ำ และถึงแม้จะผ่านเข้าไปได้ ดาวเตะร่างเล็กและพ้องเพื่อนก็ต้องตกรอบในรอบเดิมด้วยน้ำมือของเยอรมันทีมเดิมเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน 

ต่อมาในศึกโคปา อเมริกา ปี 2011 อาร์เจนติน่ากลับทำผลงานได้ไม่สมกับตำแหน่งจ้าภาพ ร่วงไปตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เจ้าตัวกลับทำประตูในรายการนั้นไม่ได้เลย ทั้งๆที่ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้บาร์ซ่าไปถึง 53 ประตูในทุกรายการ  

เอาจริงๆ ดาวเด่นจาก ‘อาซูลกราน่า’ ยิงในทีมชาติไม่ได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2009 แล้วและก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น จนกระทั่งการเข้ามาของ อเลฮานโดร ซาเบลล่า ซึ่งจะทำให้เขาโชว์ฟอร์มในทีมชาติได้ดีที่สุดในเวลาต่อมา

 

ผิดหวังซ้ำๆในช่วงที่ปังที่สุด

นับตั้งแต่นั้น เมสซี่เริ่มกลับมาทำผลงานในทีมชาติได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และกลับมายิงประตูครั้งแรกได้ในรอบ 2 ปีครึ่ง แน่นอนว่าคงไม่ดีเทียบเท่าตอนที่เขาล่นให้สโมสร แต่มันก็เป็นสัญญานที่ดีต่อแฟนบอลอาร์เจนติน่าไม่น้อย

ดาวเตะจากโรซาริโอรับตำแหน่งกัปตันทีม ‘ฟ้าขาว’ แบบเต็มตัวในวัย 24 ปี และสามารถทำแฮตทริกแรกในทีมชาติได้เป็นครั้งแรกในเกมที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี 2012 ต่อจากนั้น ก็ช่วยให้บ้านเกิดผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่บราซิลได้แบบสบายๆ ไม่ต้องเข้าไปแบบทุลักทุเลเหมือนครั้งก่อน

อย่างไรก็ตาม ช่วงก่อนฟุตบอลโลกไม่กี่สัปดาห์ เขาถูกตั้งคำถามพอสมควร เนื่องจากพาทีม ‘อาซูลกราน่า’ จบฤดูกาลแบบมือเปล่า แถมยังได้รับบาดเจ็บในช่วงท้ายๆของซีซั่นนั้นอีก อย่างไรตาม ศึกฟุตบอลโลกในปี 2014 คือรายการที่เมสซี่ทำผลงานในทีมชาติได้ที่สุด โดยพาอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์กลุ่ม และยิงประตูสำคัญมากมาย ซึ่งเรียกว่าแบกทีมอยู่คนเดียวก็คงไม่ผิดนัก 

ในที่สุดทัพ ‘ฟ้าขาว’ ก็เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ โดยพบกับเยอรมัน ทีมที่เขี่ยบ้านเกิดของเขาตกรอบในฟุตบอลโลกเมื่อ 2 ครั้งก่อน ซึ่งในนัดนั้นเขาก็พยายามสู้เพื่อทีมชาติเต็มที่ แต่ก็ต้องอกหักเป็นครั้งที่ 2 ในเกมทีมชาติ เมื่อ มาริโอ เกิตเซ่ ตัวสำรองทีเด็ดของ ‘อินทรีเหล็ก’ ลงมาซัดประตูชัยให้เยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกไปครอง ส่วนเขาก็ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมเป็นการปลอบใจ   

เมสซี่ ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นในทีมชาติได้ดีอย่างต่อเนื่องในศึกโคปา อเมริกาปี 2015 ที่ชิลี และกลายเป็นตัวเต็งเบอร์หนึ่งที่คว้าแชมป์ไปครอง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ดาวเตะร่างเล็กต้องพบกับความผิดหวัง เมื่ออาร์เจนติน่าดวลจุดโทษพ่ายเจ้าภาพในนัดชิง 4-1 และปฏิเสธไม่รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมที่ทัวร์นาเม้นต์มอบให้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาถูกสื่อและแฟนบอลในบ้านเกิดวิพากษ์วิจารณ์กันแบบไม่ไว้หน้า

 

ลาทีมชาติ(ชั่วคราว)

ถัดจากนั้นได้แค่ปีเดียว ศึกโคปา อเมริกาก็ได้จัดขึ้นอีกครั้ง เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของสมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ และเป็นครั้งแรกในรายการนี้ที่มีเจ้าภาพอยู่นอกทวีปละตินอเมริกา โดยจัดที่สหรัฐอเมริกาในปี 2016

แม้ เมสซี่ จะได้รับบาดเจ็บช่วงอุ่นเครื่องก่อนทัวร์นาเม้นต์ แต่เขาก็หายลงแข่งในศึกครั้งนั้นอยู่ และทำผลงานได้ดีเหมือนเดิมจนพาอาร์เจนติน่าเข้ารอบชิงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งคู่แข่งในนัดชิงก็ไม่ใครที่ไหน ชิลี แชมป์เก่าที่เอาชนะพวกเขาไปได้เมื่อปีก่อนนี่เอง

แต่ทว่าในท้ายที่สุดตอนจบของศึกครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งที่แล้วนัก เมื่ออาร์เจนติน่าพ่ายแก่ชิลีด้วยการยิงจุดโทษแบบเดิม โดยที่ดาวเด่นจาก บาร์เซโลน่า คือหนึ่งในนักเตะที่ยิงจุดโทษไม่เข้าด้วย และหลังเกมวันนั้น เจ้าตัวก็ประกาศเลิกเล่นให้ทีมชาติทันที 

“ผมพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ทั้ง 4 นัดในรอบชิง ผมต้องการคว้าแชมป์กับทีมชาติมากกว่าใครๆ แต่โชคไม่ดีที่สิ่งเหล่านั้นมันไม่เกิดขึ้น ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับทุกคน สำหรับผม และก็ทุกๆคนที่ต้องการแบบนี้ ผมกับทีมชาติได้จบลงแล้ว” ยอดแข้งอาร์เจนไตน์กล่าวหลังเกมนั้นวันที่ 27 มิถุนายน 2016

แม้มีแฟนบอลหลายคนเคยวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสียๆหายๆ แต่เมื่อพวกเขารู้ข่าวว่าแข้งเบอร์หนึ่งในประเทศหันหลังให้ทีมชาติก็อดใจหายไม่ได้ จนเกิดแคมเปญเรียกร้องให้เจ้าตัวกลับมาเล่นให้อาร์เจนติน่าอีกครั้ง จนกระทั่งในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน แข้งเบอร์หนึ่งจากบาร์เซโลน่า ก็ยอมกลืนน้ำลายกลับมาเล่นให้ทัพ ‘ฟ้าขาว’ อีกครั้ง

แต่ต่อให้ เมสซี่ เก่งกาจแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถแบกทีมได้ด้วยตัวคนเดียว ในฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซีย อาร์เจนติน่าทำผลงานได้น่าผิดหวังมากๆ แม้จะผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ไปได้ แต่ก็ต้านความแข็งแกร่งของฝรั่งเศส แชมป์ในปีนั้นไม่ได้ พ่ายไป 4-3 และหลังจากทัวร์นาเม้นต์ เราก็ไม่เห็นเขากลับมาเล่นให้ทีมชาติอีกเลยในปี 2018

 

จำรอต่อไป

สื่อหลายเจ้าในอาร์เจนติน่าคาดว่า ดาวดังจาก บาร์ซ่า อาจจะลาทีมชาติไปแล้วก็ได้ เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จและผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในเดือนมีนาคมปี 2019 แฟนบอลก็เห็นเขากลับมาอยู่ในทีม ‘ฟ้าขาว’ อีกครั้ง ในช่วงพักเบรกทีมชาติเกือบ 2 สัปดาห์ 

และในเดือนพฤษภาคมปีนั้น เมสซี่ก็มีชื่อติดอยู่ 23 ขุนพลของ ลิโอเนล สคาโลนี่ ในทีมอาร์เจนติน่าชุดสู้ศึกโคปา อเมริกา ปีนี้ที่ประเทศบราซิล ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะคว้าแชมป์ในนามทีมชาติซักครั้งในชีวิตค้าแข้ง

แต่โอกาสนั้นก็ค่อยหายไปเรื่อยๆตั้งแต่ยังแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มไม่เสร็จสิ้น หลังพ่ายแก่โคลอมเบียในนัดแรก 2-0 จากนั้นก็เกือบพ่ายในนัดที่เสมอกับปารากวัย 1-1  ซึ่งตัวเมสซี่ก็ยังผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่นักและถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ต่างจากเดิม

แม้กระเสือกกระสนจนผ่านเข้าไปเล่นรอบน็อคเอ้าท์ได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็โดน ทัพแซมบ้า คู่อริร่วมทวีปตลอดกาล และว่าที่แชมป์ในรายการนั้นตบร่วงในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 

สิ้นสุดการรอคอย

Argentina vs Brazil summary: score, goals, highlights, Copa America 2021 - AS.com

โอกาสแก้ตัวยังมีอีกครั้งปี 2021 กับศึกโคปา อเมริกา ที่บราซิล รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพแทนที่ โคลอมเบีย กับ อาร์เจนติน่า ที่ถูกตัดสิทธิ์ หลังเลื่อนหนีโควิดมา 1 ปีเต็มๆ

ในวัย 34 ปี เมสซี่ ก็ยังเป็นแข้งเบอร์หนึ่งของ อาร์เจนติน่า ที่ต้องแบกทีมไว้เสมอ กับเกมแรกที่เสมอ ชิลี 1-1 ในรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนที่ทีมจะพัฒนาฟอร์มจนผ่านเข้ารอบต่อไปจนไปถึงรอบชิงชนะเลิศ

บราซิล กลายเป็นอุปสรรคด่านสุดท้ายของ แข้งอาร์เจนไตน์ อีกทั้งยังเป็นทีมที่คอยขัดแข้งขัดขาพวกเขาบ่อยๆในรายการทวีปตลอดหลายปีที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ดาวเตะบาร์เซโลน่า ไม่ต้องอกหักเป็นครั้งที่ 5 ในนัดชิงทีมชาติติดกันอีกแล้ว เมื่อ อาร์เจนติน่า โชว์ฟอร์มได้ดีกว่าเอาชนะ เซเลเซา ได้สำเร็จ คว้าแชมป์โคปา อเมริกา สมัยที่ 10 มาครอง พร้อมกันนี้ยังคว้าดาวซัลโวประจำทัวร์นาเม้นต์ และแข้งยอดเยี่ยมร่วมกับ เนย์มาร์ โดยกดไป 4 ประตู กับ 5 แอสซิสต์

16 ปี 9 ทัวร์นาม้นต์ และ 5 นัดชิงชนะเลิศ ในที่สุด เมสซี่ ก็ปลดล็อกความสำเร็จกับทีมชาติที่เขาถูกค่อนขอดมานานได้แล้ว และมีเป้าหมายต่อไปคือฟุตบอลโลกปีหน้าที่ กาตาร์

แชมป์โลกสมัยที่ 3 น่าจะเป็นสิ่งที่สุดท้ายที่ ยอดแข้งวัย 34 ปี อยากทำให้ทีม ‘ฟ้าขาว’ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนลาทีมชาติ เหมือนกับที่ ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานแข้งรุ่นพี่ผู้ล่วงลับเคยทำเอาไว้

และต่อให้อาร์เจนติน่าไปไม่ถึงฝั่งฝันกับแชมป์บอลโลก แต่แชมป์โคปา อเมริกา ในปี 2021 ก็เพียงพอที่ทำให้ เมสซี่ เทียบเคียงกับ โรนัลโด้ ในฐานะ 2 ดาวเตะแห่งยุคได้อย่างสมศักดิ์ศรี และไม่มีคำครหาใดๆมาโต้แย้งว่าเขาเป็นราชันไร้บัลลังก์ในทีมชาติได้อีกต่อไป

 

บทความเกี่ยวกับ เมสซี่

เกมแห่งความทรงจำ : 14 ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ ลิโอเนล เมสซี่