3-5-2 พิฆาต : ย้อนรอย ‘โรม่า’ ยุคคว้าแชมป์ลีกครั้งเดียวของ ‘ต็อตติ’

 

แม้ ฟรานเชสโก้ ต็อตติ จะคว้าแชมป์เซเรีย อา แค่สมัยเดียวตลอดการค้าแข้ง 25 ปีในถิ่นสตาดิโอ โอลิมปิโก้ แต่แชมป์ในครั้งนั้นทำให้เกิดทีมที่ยอดเยี่ยมทีมหนึ่งในวงการลูกหนังอิตาลีเลย

 

หากย้อนกลับในช่วงเวลาดังกล่าว ต้องยอมรับเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยที่ เจ้าชายหมาป่ากรุงโรม เคยได้ชูถ้วยสคูเด็ดโต้เพียงครั้งเดียว และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคว้าอันดับสองมากถึง 8 ครั้งในลีก แถมนักเตะบางคนที่ชั้นเชิงในลูกหนังด้อยกว่า ต๊อดติ ยังได้แชมป์ลีกมากกว่าเขาอีก 

 

เพราะฉะนั้น UFA ARENA ขอพาไปนึกถึงช่วงเวลาสุดน่าจดจำในปี 2001 กับระบบ 3-5-2 ที่ช่วยให้โรม่าคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อย่างสมศักดิ์ศรี

 

 

กุนซือสมองเพชร

 

 

ด้วยผลงานแชมป์ลีก 5 สมัยและแชมป์ยุโรป 1 สมัยกับเอซี มิลาน ร่วมไปถึงคว้าแชมป์ลา ลีก้ากับ เรอัล มาดริดมาก่อนหน้านี้ ทำให้ฟาบิโอ คาเปลโล่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้จัดการทีมที่เก่งกาจมากที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลยุโรป

 

ย้อนกลับไปสมัย ดอน ฟาบิโอ ยังเป็นนักเตะอาชีพโลดแล่นบนฟลอร์หญ้า เขาเคยคว้าแชมป์โคปา อิตาเลีย กับโรม่า แต่ไม่เคยคว้าแชมป์ลีกได้เลย ตลอด 3 ปีที่ค้าแข้งในกรุงโรม

 

และในฤดูกาล 2000-01 คาเปลโล่ได้เปลี่ยนรูปแบบการเล่นของโรม่าเป็นระบบ 3-5-2 ที่ผสมผสานการเล่นที่สวยงามแบบฟุตบอลละตินอเมริกาและแนวรับที่แข็งแกร่งแบบอิตาลีแท้ๆ รวมทั้งให้อิสระในการเล่นกับหน้าต่ำพรสวรรค์สูงอย่าง ฟรานเชสโก้ ต็อตติ ได้ฉายแววให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ด้วย

 

 

สามแนวรับหินผา

 

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปราการหลังทั้ง 3 คน จาก 3 ประเทศ คือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้โรม่าประสบความสำเร็จในปีนั้น ไม่ว่าเป็น อันโตนิโอ คาร์ลอส ซาโก้ กองหลังชาวแซมบ้า, วอลเตอร์ ซามูเอล ชาวอาร์เจนไตน์ และ โจนาธาน เซบิน่า ชาวฝรั่งเศส 

 

กองหลังทั้งสามคือการผสมผสานที่ลงตัว ทั้งความเร็ว,ความแข็งแกร่ง และ ทักษะในการเล่นกับบอล ต่างทำได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งปีนั้นพวกเขาเสียประตูในลีกแค่ 33 ลูกในลีก เป็นรองแค่ ยูเวนตุส กับ ปาร์ม่า เท่านั้น และนั่นทำให้แนวรุกของทีมหมาป่ากรุงโรมเฉิดฉายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

คู่วิงแบ็คที่ยอดเยี่ยมที่สุด

 

 

ลองมานึกถึง แว็งซองต์ คอนเดล่า แบ็คซ้ายทีมชาติฝรั่งเศสและตัวหลักของทีม  ที่แม้จะถนัดเท้าขวาแต่ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ โดยลงเล่นไป 33 นัด ยิงไป 3 ประตู และแอสซิสต์ให้เพื่อนทำประตูอีก 3 ลูก

 

มาร์กอส อีวานเจลิสต้า เด โมไรซ์ หรือ คาฟู เป็นอีกคนที่ไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ เขาขึ้นสุด ลงสุดทั้งเกมรับและรุกในวัย 30 ปี ซึ่งลงเล่นไปถึง 31 เกมในลีก ทำให้ผู้เล่นหลายคนคนในตำแหน่งปีกหรือตัวริมเส้นต้องอยู่บนม้านั่งสำรองอยู่บ่อยครั้ง

 

 

แดนกลางผู้ปิดทองหลังพระ

 

 

ทีมฟุตบอลที่ดีจะต้องมีนักเตะประเภทที่ไม่โดดเด่นแต่การเล่นของพวกเขาก็ทำให้ทีมมีประสิทธิภาพมากๆ และทำให้แนวรุกของทีมเล่นได้ง่ายขึ้น ซึ่งทีมของคาเปลโล่ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากนั้น คู่หูชาวอิตาเลี่ยน คริสเตียโน่ ซาเน็ตติ และ ดาเมียโน่ ทอมมาซี่ ช่วยไล่บอลในแดนกลางและจ่ายบอลขึ้นหน้าแบบง่ายๆ

 

รวมไปถึงกองกลางทีมชาติบราซิลอย่าง เอเมอร์สันที่คอยลงมาเล่นเกมรับช่วยกองหลังยามที่ คาฟู และ คอนเดล่า เติมเกมรุกอยู่ข้างหน้า ทำให้ทีมสามารถเล่นเกมรุกได้อย่างไม่ต้องพะวงกับการเล่นเกมรับเลย

 

 

แนวรุกสามประสาน (+ 1)

 

 

พูดถึงแนวรุกบ้าง กับสามประสานที่คอยปิดบัญชีให้กับทีม โดยมีกาเบรียล บาติสตูต้ากับวินเซนโซ่ มอนเตลล่า เล่นเป็นกองหน้าคู่กัน และมี ฟรานเชสโก้ ต็อตติคอยสนับสนุนพวกเขาอยู่ด้านหลัง

 

และการที่คาเปลโล่เคยเล่นเป็นกองกลางตัวรับมาก่อน ทำให้เขาจำเป็นต้องมีขุมกำลังสำรองที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ผู้เล่นตัวหลัก ซึ่ง มาร์โก เดลเวชิโอ คือคนที่ กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ต้องการและคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกับ มอนเตลล่า ในตลอดฤดูกาลนั้นด้วย

 

การประสานงานของผู้เล่นทั้ง 4 คน ทำประตูให้ทีมมากถึง 49 ลูกในลีก โดยมีบาติโกลเป็นดาวซัลโวประทีมหมาป่าที่ไปในลีกถึง 20 ประตู และตามหลังแค่ เออร์นาน เครสโป (26 ประตู), อังเดร เชฟเชนโก้ (24 ประตู) และ เอ็นริโก้ เคียซ่า (22 ประตู) เท่านั้น

 

และสิ่งที่สำคัญที่สุด ต็อตติได้เป็นตัวรุกอิสะอย่างที่ตัวเขาต้องการ และเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่เจ้าชายหมาป่าทำโชว์ฟอร์มการเล่นได้ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้ง โดยทำไป 16 ประตู กับอีก 3 แอสซิสต์ จากการลงล่น 30 นัดในลีก ซึ่งรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมเซเรีย อา ในปีนั้นการันตีความยอดเยี่ยมเขาได้อย่างดีเลย

 

 

อาวุธลับจากแดนปลาดิบ

 

 

อีกคนที่คอบอลเลี่ยนในไทยไม่มีวันลืม คือ ฮิเดโทชิ นากาตะ อดีตกองกลางทีมชาติญี่ปุ่น ที่ย้ายไปเล่นกับโรม่าในปี 2000 หลังทำผลงานโดดเด่นกับ เปรูจา ทีมร่วมลีกในฤดูกาลก่อน

 

แม้ส่วนใหญ่ นากาตะ จะลงเล่นในในฐานะตัวสำรองบ่อยๆ ในทีมของ คาเปลโล่ โดยแทนที่ ฟราเชสโก ต็อตติ ในตำแหน่งกองกลางตัวรุก แต่ก็ถือเป็นตัวทีเด็ดที่ลงพลิกได้หลายเกมเลย

 

และหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เกมที่เสมอกับ ยูเวนตุส 2-2 ในช่วงท้ายฤดูกาล 2000-01 ซึ่งแข้งแดนปลาดิบเป็นตัวสำรองลงมายิงประตูสุดสวยผ่าน เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ และ แอสซิสต์ให้ มอนเตลล่า ยิงประตูตีเสมอในนาทีสุดท้าย ช่วยให้หมาป่ากรุงโรม สามารถรักษาตำแหน่งจ่าฝูงในเซเรียอาได้จนจบฤดูกาล และคว้าแชมป์ไปครองในท้ายที่สุด