30ปีผ่านไป! 10สิ่งที่เปลี่ยนไปในช่วงการรอคอยแชมป์ของหงส์แดง

 

การรอคอยกว่า 3ทศวรรษของสาวกหงส์แดงกำลังจะจบลงอย่างเป็นทางการในอีก 7นัดเท่านั้น กับการที่พวกเขาได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นที่เรียบร้อย หลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปแพ้เชลซี 2-1 นับเป็นการกลับมาคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1989/1990 

 

แน่นอนว่าช่วงเวลากว่า 30ปี ทำให้โลกเราเปลี่ยนไปมากมายไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี สภาพแวดล้อม และสิ่งต่างๆในโลกลูะำกหนัง วันนี้ทางUFA ARENA จะพาไปดูว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วง 30ปีแห่งการรอคอยแชมป์ลีกของทัพหงส์แดง

 

ความแตกต่างของเทคโนโลยี (ทีวี คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์)

เมื่อช่วง 30ปีที่แล้วเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตมนุษย์มาสักพักแล้วไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์สี , โทรศัพท์มือถือ รวมถึงคอมพิวเตอร์ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ยังล้าสมัยทำให้สิ่งของเหล่านั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่าปัจจุบันมาก อย่างตัวโทรศัพท์มือถือก็เป็นยุคที่เพิ่งปรับให้มีขนาดเล็กลง และมีราคาถูกลงด้วย ซึ่งราคาถูกลงในที่นี้คือ 129,700บาท ส่วนทีวีเองแม้จะมีจอสีมานานแล้ว แต่ก็ยังเป็นจอตู้อยู่ ไม่เหมือนทุกวันนี้ที่เป็นจอแบน จอโค้งสุดกว้าง พร้อมความคมชัดแบบสุดๆ ในขณะที่คอมพิวเตอร์เองก็เป็นยุคเปลี่ยนถ่ายถูกปรับให้คนทั่วไปเข้าถึงได้บ้าง รวมถึงไปพัฒนาในด้านต่างๆ แต่ในช่วงยุคนั้น ไม่ว่าโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ ก็ยังไม่เป็นที่นิยมเท่ากับเพจเจอร์ ที่คนยุคนั้นชื่นชอบกันเป็นพิเศษ

 

 

ยังไม่มีประเทศโครเอเชีย

หนสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ประเทศโครเอเชีย ยังคงเป็นส่วนนึงของประเทศยูโกสลาเวีย ก่อนที่ในปี 1991 จะเกิดสงครามยูโกสลาเวียขึ้นมาซึ่งมีที่มาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์ที่ถูกรวมเข้ามาเป็นประเทศเดียวกัน และเมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละชาติต้องการที่จะประกาศเอกราชเป็นของตัวเองจึงได้เกิดสงครามขึ้น ก่อนที่จะไปจบในปี 2001 พร้อมกับมีประเทศแยกตัวออกมาได้แก่ บอสเนีย , โคโซโว , เซอร์เบีย , มอนเตรเนโก, มาซิโดเนีย และ โครเอเชีย

 

ส่วนนักฟุตบอลที่ได้รับผลกระทบที่เห็นได้ชัดๆก็อย่างเช่น ลูก้า โมดริช จอมทัพตราหมากรุกในปัจจุบันที่เติบโตมาท่ามกลางสงคราม รวมถึง ซโวนิเมียร์ โบบัน ที่เคยเล่นทีมชาติในนามยูโกสลาเวีย ก็เปลี่ยนมาเล่นให้กับทีมชาติโครเอเชียตั้งแต่ปี 1992 

 

เยอรมันเพิ่งรวมประเทศ

เป็นที่รู้กันดีว่าหลังจบสงครามโลกเยอรมันถูกแบ่งเป็นเยอรมันตะวันออก และตะวันตกตั้งแต่ปี 1961 นับรวมกว่า 28ปี ก่อนที่ในปี 1989 จะมีการตกลงกันทำลายกำแพงเบอร์ลิน และได้เริ่มมาทำลายกำแพงในช่วงกลางปี 1990 ก่อนที่ในช่วงเดือนตุลาคมจะได้มีการรวมประเทศอย่างเป็นทางการ

 

ซึ่งถ้ามองย้อนไปก็เป็นเยอรมันตะวันตกที่ครองความยิ่งใหญ่ในโลกลูกหนัง จากการคว้าแชมป์โลกไป 3ครั้ง และ แชมป์ยูโรไปอีก 2ครั้ง ในขณะที่เยอรมันตะวันออกแทบไมเคยได้เข้าไปเล่นในรอบลึกๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นเมื่อรวมประเทศได้สำเร็จพวกเขาก็ได้คว้าแชมป์โลกอีกครั้งในปี 2014 และแชมป์ยูโรในปี 1996

 

ลิเวอร์พูลเปลี่ยนโลโก้ไป 5รอบ

ถ้าบอกว่าคนไทยมีความเชื่อเรื่องการเปลี่ยนชื่อ หรือโหงวเฮ้งต่างๆ ลิเวอร์พูลเองก็เปลี่ยนโลโก้เพื่อความเป็นศิริมงคลไปกว่า 5ครั้งแล้ว ไล่มาตั้งแต่โลโก้ในปี 1992-1993 , 1993-1999 , 1999-2012 และ 2012ถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างยาวนานกว่าที่ความเป็นศิริมงคลของการเปลี่ยนโลโก้จะแสดงผล

 

 

พรีเมียร์ลีกเปลี่ยนกฎใส่ชื่อสำรองได้ 7คน จากเดิม 5คน

สัตว์ปีกคูณสอง ! 5 สตาร์ที่เคยอยู่กับทั้ง ลิเวอร์พูล และ สปอร์ส ...

ย้อนไปในสมัยก่อนพรีเมียร์ลีกยังคงให้ทุกทีมใส่ชื่อนักเตะสำรองมาได้แค่ 5คนเท่านั้น ทั้งที่ลีกอื่นๆอนุญาติให้ใส่ชื่อได้ 7คน ก่อนที่ในปี 2009 ทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษ จะอนุมัติเปลี่ยนกติกาให้ใส่ชื่อนักเตะสำรองได้เป็น 7คนตามแบบมาตรฐาน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับบรรดาผู้จัดการทีมได้เลือกใช้นักเตะ ซึ่งแต่ละทีมจะยังคงเปลี่ยนตัวได้เพียง 3คนเท่านั้นตามเดิม ซึ่งได้บังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน

 

เมสซี่-โรนัลโด้แข่งกันจารึกสถิติ

10 Players Who Played With Both Messi and Ronaldo | ht_media

ในช่วงเวลากว่า 30ปีที่ผ่านมาได้ให้กำเนิดนักเตะชั้นยอดมามากมาย ซึ่งในส่วนนึงนั้นก็คือคริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ที่เพิ่งก้าวขึ้นมาสร้างสรรค์ผลงานในช่วงปี 2000เป็นต้นมา หรือราวๆ10-20ปีนี้เอง แต่พวกเขาก็จารึกชื่อ ทำลายสถิติเอาไว้มากมาย

 

ในรายของCR7 เจ้าตัวจารึกชื่อไว้เป็นนักเตะที่ยิงประตูครบ 300 ประตูได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลลาลีก้าสเปน , นักเตะคนแรกที่ยิงประตูได้มากกว่า 40 ประตู 2 ฤดูกาลติดต่อกันในลีก(2010/11-2011/12) ,นักเตะคนแรกของโลกที่ยิงประตูได้มากกว่า 50 ประตู(ในทุกรายการ)6 ฤดูกาลติดต่อกัน(2011-2016),ยิงประตูในนามทีมชาติมากที่สุด(95ประตู) ,เป็นนักเตะคนที่ 6ในประวัติศาสตร์ที่ยิงครบ 700ประตู ซึ่งนี้เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้นที่เจ้าตัวทำได้ และยังมีอีกหลายสถิติที่จารึกไว้

 

ด้านลิโอเนล เมสซี่เองก็ไม่น้อยหน้ากันจากการเป็นนักเตะที่ยิงประตูในลาลีกาไปมากถึง 438ประตู จากการลงเล่นให้บาร์เซโลน่า 474นัด ,ซัดประตูในลาลีกาติดต่อกัน 16ฤดูกาลติดต่อกัน ,ทำประตูได้มากที่สุดภายใน 1ปี จากการซัดไป 91ประตูใน 2012 ทั้งกับบาร์ซ่าและทีมชาติอาร์เจนติน่า , ยิงประตูได้ติดต่อกันในลีกมากที่สุดจาก 33ประตู จาก 21นัดติดต่อกัน , ทำประตูได้มากที่สุดกับหนึ่งสโมสร , คว้าบัลลงดอร์มากที่สุด 6สมัย และ คว้ารางวัลรองเท้าทองคำได้มากที่สุด ซึ่งก็มีอีกมากมายที่ไม่ได้ถูกยกมา

 

นอกจากนี้ทั้งคู่ยังเคยขับเคี่ยวผลัดกันคว้ารางวัลบัลลงดอร์ ที่เป็นรางวัลส่วนตัวของนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไล่มาตั้งแต่ปี 2008 มาจนถึงปี 2018 ที่มี ลูก้า โมดริช มาขั้นแต่ในปีล่าสุด 2019 ลิโอเนล เมสซี่ ก็กลับมาคว้ารางวัลดังกล่าวสมัยที่ 6ไปได้ ส่วนโรนัลโด้ ก็คว้าไป 5สมัยเรียกได้ว่าโลกฟุตบอลในช่วง 30ปี มีสองนักเตะที่ยิ่งใหญ่ สองรายครองยุคนานกว่า 10ปี 

 

ฟุตบอลโลกจัดมาแล้ว 7รอบ

หลังจากฟุตบอลโลกปี 1990 ที่ทีมชาติอิตาลีเป็นเจ้าภาพ โลกฟุตบอลก็หมุนไปเรื่อยๆ และได้ผ่านการจัดแข่งขันฟุตบอลโลกไปแล้วกว่า 7ครั้ง ซึ่งก็มีโมเม้นน่าจดจำอย่างการที่ทีมชาติสเปนขึ้นมาผงาดคว้าแชมป์โลกได้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2010 โดยนับเป็นการต่อยอดมาจากการคว้าแชมป์ ยูโรเมื่อปี 2008 นับว่าเป็นยุคที่ฟุตบอลสเปนขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าสามแชมป์ระดับทีมชาติติดกันได้แก่ ยูโร 2008 , ฟุตบอลโลก 2010 และ ยูโร 2012 นอกจากนี้ยังมีการที่โครเอเชีย สามารถก้าวขึ้นมาถึงการเป็นรองแชมป์ในปี 2018 นับเป็นการเข้ารอบลึกที่สุดของพวกเขา

 

นักเตะที่แพงที่สุดในโลก โรแบร์โต้ บาจโจ้ /12.90ล้านยูโร

แม้ในยุคปัจจุบันจะมีปัญหาไวรัสระบาดที่ทำให้มูลค่าของตลาดนักเตะตกลงไปแต่ก็นักเตะที่มีมูลค่าสูงที่สุดก็ยังอยู่ที่หลัก 100ล้านขึ้นไปอยู่ดี ส่วนการย้ายทีมที่แพงที่สุดก็ยังคงเป็นของเนย์มาร์ ที่ย้ายจากบาร์เซโลน่าไปที่ ปารีส แซงต์แชร์กแมง เมื่อปี 2017 ด้วยราคา 222ล้านยูโร แต่ถ้าหากย้อนกลับไป 30ปีที่แล้ว โลกเพิ่งรู้จักกับนักเตะที่ราคาเกินหลักล้านเป็นคนแรก นั่นคือ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ที่ย้ายจากฟิออเรนติน่า ไปยูเวนตุสด้วยราคาเพียง 12.90ล้านยูโร นับเป็นสถิติโลกในเวลานั้น

 

มีแค่ 11 จาก 20ทีมที่อยู่ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลปัจุบัน

ย้อนไปฤดูกาล 1989/90 ที่ลิเวอร์พูลได้แชมป์ครั้งสุดท้ายลีกแดนผู้ดีในเวลานั้นก็มีทีมที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี แต่ก็มีแค่ 11ทีมจาก 20ทีมเท่านั้นที่ยังอยู่ในฤดูกาลปัจจุบันไล่มาตั้งแต่ ลิเวอร์พูล , แอสตัน วิลล่า ที่ในเวลานั้นเป็นรองแชมป์ , ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ส ,อาร์เซน่อล , เชลซี , เอฟเวอร์ตัน ,เซาธ์แฮมป์ตัน , นอร์วิช ซิตี้ , แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และคริสตัล พาเลซ ส่วนคะแนนห่างระหว่างทีมแชมป์อย่างหงส์แดง และรองแชมป์อย่างสิงห์ผงาดห่างกันถึง 9แต้ม ส่วนในฤดูกาลนั้นแม้ปีศาจแดงจะทำผลงานในลีกไม่ค่อยดีนัก แต่ก็สามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพติดมือมา

 

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เพิ่งเกิด

ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตาที่กำหนดไว้หรืออย่างไร แต่เด็กน้อยชื่อ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เพิ่งเกิดในช่วงกลางปี 1990 จะกลายมาเป็นผู้พาทัพหงส์แดงกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมานานกว่า 30ปี ในฐานะกัปตันทีม แน่นอนว่ามีนักฟุตบอลมากมายที่เกิดในปีเดียวกัน แต่เฮนโด้เหมือนถูกกำหนดให้มาชูถ้วยใบนี้ให้กับทีมอีกครั้ง

 

ส่วนในเรื่องของผลงานฤดูกาลนี้เจ้าตัวลงสนาม 37นัด ยิง 3ประตู กับอีก 5แอสซิสต์รวมทุกรายการ และแม้จะไม่ได้มีผลงานโดดเด่นอะไรแต่เขาก็เป็นเสาหลักสำคัญในการบัญชาเกมในแดนกลางของหงส์แดงที่แทบจะขาดไปไม่ได้เลยในระบบของเจอร์เก้น คล็อปป์