จากชัยชนะเหนือ ลำปาง เอฟซี ในเกมไทยลีก 2 นัดที่ 29 บทสรุปตอนนี้ยืนยันได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด คือทีมแรกที่คว้าตั๋วขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุด
เส้นทางอีก 5 เกมที่เหลือคือการไล่ล่า “แชมป์” เพื่อเป็นโบนัสให้กับแฟนบอล ซึ่งดูแล้วอาจจะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ทันทีหาก โปลิส เทโร เอฟซี ไม่สามารถเอาชนะ หนองบัว พิชญ เอฟซี ได้ในวันอาทิตย์
1 ปีก่อนท้องฟ้าที่สนามลีโอ สเตเดี้ยม อาจมืดมัว ซึ่งตัวผู้เขียนก็อยู่ในเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาในวันนั้น เฉกเช่นเดียวกับสาวก “เดอะ แรบบิตส์” คนอื่นๆ
ทว่าวันนี้ “ฟ้าหลังฝน” กลับมาสวยงามอีกครั้ง การคัมแบ็กสู่ไทยลีก ตามเป้าหมาย 1 ปีที่สโมสตั้งไว้ลุล่วงไปด้วยดี วันนี้เลยผู้เขียนขออนุญาติทำตัวเป็น “นักสืบ” ลองวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ทำ “กระต่าย” ตัวนี้กลับมายังจุดที่พวกเขาควรอยู่อีกครั้ง
“Put the right man on the right job”
หลังความล้มเหลวที่ทำให้พวกเขาต้องหล่นลงมาเล่นในลีกรองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร บอร์ดบริหารของ บีจี ไม่รอช้าที่จะปิดปรับปรุงซ่อมความเสียหายหลายๆ อย่างของทีมแบบทันด่วน
หัวเรือใหญ่ของทีมคือสิ่งที่พวกเขาคิดไวทำไว ปฎิบัติการแยกทางกับ “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด และแต่งตั้ง “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือนนับตั้งแต่จบซีซั่น
การดึงอดีตแบ็กซ้ายทีมชาติไทยเข้ามาคุมทีม ถือเป็นการตัดสินใจที่ “ถูกจุด” มากๆ หรือพูดแบบโกอินเตอร์หน่อยๆ ก็ “Put the right man on the right job” คือการใช้คนได้ถูกกับงาน
“โค้ชโอ่ง” คือกุนซือมือดีของลีกพระรอง มีประสบการณ์คุมมาแล้วหลายทีม และมีดีกรีเคยพา สิงห์ท่าเรือ กับ ตราด เอฟซี ขึ้นชั้นสู่ลีกสูงสุดมาก่อนหน้านี้
ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหวัง หากเปรียบไทยลีก 2 เป็นการแข้งม้า กุนซือวัย 49 ปีก็ไม่ต่างจากจอกกี้มือฉมังที่ควบม้าออกนำตั้งแต่ต้น ก่อนเข้าป้ายแบบม้วนเดียวจบไปแบบไร้คู่แข่งจริงๆ
แก้ปัญหาขุมกำลังถูกจุด
นอกจากตัวกุนซือที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนแล้ว วัฎจักรของฟุตบอลของทีมตกชั้น การผ่องถ่ายขุมกำลังนักเตะก็เป็นอีกเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล
อย่างตัวต่างชาติของเก่าทั้งหมดเหลือแค่ ดาเนี่ยล การ์เซีย โรดริเกวซ เพียงรายเดียว ขณะที่นักเตะไทยก็ต้องมาเสีย ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่เดินตามฝันไปเล่นในเจลีก ประเทศญี่ปุ่น
ทว่านักเตะที่เอาเข้ามาใหม่รายคน “ตอบโจทย์” และช่วยให้ทีมแกร่งพอที่จะสู้ในไทยลีก 2 ไม่ว่าจะเป็น ฉัตรชัย บุตรพรม นายทวารดีกรีทีมชาติไทย, อิรฟาน ฟานดี้ แนวรับทีมชาติสิงคโปร์ และแข้งมากประสบการณ์อย่าง เอกลักษณฺ ลุงนาม ที่ช่วยเกมรับได้เยอะมากๆ
ส่วนแนวรุกคู่หูจาก ตราด เอฟซี ทั้ง ยูกิ บับบะ และ บาร์รอส ทาร์เดลี่ ก็ทำให้เกมรุกไหลลื่น สามารถผสานงานร่วมกับตัวเก่าได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะหัวหอกแซมบ้า ที่ตอนนี้มีลุ้นดาวซัลโวลีกรองเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ออกสตาร์ตดีเกินคาด
ถ้าพูดถึงตอนนี้ทุกอย่างคงสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเป้าหมายการเลื่อนชั้นมันได้บรรลุไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่เอาจริงๆ กว่า “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ก็ต้องผ่านกระแสแฟนบอลที่ไม่ค่อยจะดีนัก โดยเฉพาะช่วงปรีซีซั่น ที่อุ่นเครื่องยังไงก็มีแต่เสมอกับแพ้ บอลรายการใหญ่ในฐานะเจ้าภาพเองอย่าง “ลีโอ ปรีซีซั่น คัพ” ก็ร่วงตกรอบตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนาม
นาทีนั้นคอมเมนต์แฟนบอลร้อนแรงอยู่พอสมควร หลายคนไม่ไว้ใจทีม หลายคนไม่เชื่อมั่นว่าจะกลับมาได้ในปีเดียวเหมือนอย่างที่ทุกคนคาดหวัง
ทว่าพอฤดูกาลเริ่มต้นเท่านั้น บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เดินหน้าเก็บชัย 5 เกมติดต่อกัน รวมถึงปิดเลกแรกด้วยการแพ้เพียงนัดเดียว เสียงวิจารณ์ในแง่ลบต่างๆ ก็ค่อยๆ เลือนหายไปเอง
เกมในบ้านเลกแรกโคตรดุ
ฟุตบอลในลีกพระรอง การจะทำอันดับขึ้นไปเป็นทีมหัวตาราง การเล่นเกมในบ้านให้ดีนับเป็นหนึ่งใน “คีย์แมน” สำคัญเลยก็ว่าได้
อย่าง ตราด เอฟซี สมัยที่ “โค้ชโอ่ง” คุมพาทีมขึ้นชั้นเมื่อซีซั่นก่อน ก็เก็บแต้มเป็นกอบเป็นกำจากการเล่นในบ้านที่ชนะถึง 11 และเสมออีก 3 เกม
ส่วนฤดูกาลนี้ที่ บีจี โกยคะแนนนำลิ่วตั้งแต่เลกแรก ก็เป็นเพราะเกมในบ้านสุดโหด พวกเขาชนะรวดทั้ง 10 นัด คิดเป็นแต้มก็ฟาดไปเหนาะ 30 คะแนนแล้ว
ส่วนเกมเยือนที่หลายคนห่วง ไม่ว่าจะสภาพสนาม สภาพแวดล้อม รวมถึงการเดินทางที่เหนื่อยล้า ลูกทีมของ “โค้ชโอ่ง” ก็ทำได้ดี นับถึงนัดที่ 29 พวกเขาชนะถึง 9 และแพ้เพียง 3 นัดเท่านั้น
ไร้คู่แข่งต่อกร
ด้วยขุมกำลังที่เหนือกว่าหลายๆ ทีม ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด จะกลายเป็นเต็งหนึ่งของ ไทยลีก 2 ในฤดูกาลนี้ แต่เอาจริงๆ มาตรฐานก็ไม่ได้ห่างจากกลุ่มผู้ไล่อย่าง โปลิส เทโร หรือ อาร์มี่ ยูไนเต็ด ชนิดเกินเลย
อย่างไรก็ตามในขณะที่ “เดอะ แรบบิตส์” เดินหน้าทำเก็บแต้มตามมาตรฐานที่ถูกตั้งไว้ ทว่าคู่แข่งหลายอื่นๆ กลับสะดุดขาตัวเอง โดยเฉพาะ “สุภาพบุรุษวงจักร” ที่แรกๆ ก็เบียดเหมือนจะสูสี แต่ก็มาแผ่วเอาดื้อๆ
อีกทีมที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ศรีสะเกษ เอฟซี หากพวกเขาไม่เจอปัญหานอกสนามที่ส่งผลให้โดนตัดถึง 12 คะแนน นับรวมแต้มตอนนี้พวกเขาจะมีถึง 61 คะแนน ตามหลังจ่าฝูงเพียง 6 แต้มเท่านั้น
การแข่งขันฟุตบอลลีก จริงๆ คือการสู้กับตัวเอง ทำผลงานให้สม่ำเสมอที่สุด ซึ่ง บีจี ทำได้ตามเป้าหมายยังไงพวกเขาก็จะเป็นหนึ่งทีมที่ขึ้นชั้นแน่ๆ แต่หากคู่แข่งของพวกเขาแข็งกว่านี้หน่อย หรือ ศรีสะเกษ ไม่โดนตัดแต้มไปเสียก่อน
การลุ้นทั้งตั๋วขึ้นชั้น หรือ การคว้าแชมป์ไทยลีก 2 “กระต่าย” ตัวนี้คงต้องใช้กำลังภายในออกแรงหนักกว่านี้แน่ๆ