มาแล้วไม่รุ่ง: 5 แข้งอิตาเลี่ยนผู้ล้มเหลวบนเวทีพรีเมียร์ลีก

มาแล้วไม่รุ่ง: 5 แข้งอิตาเลี่ยนผู้ล้มเหลวบนเวทีพรีเมียร์ลีก

ตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ 2022 ได้ปิดตัวลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีทั้งทีมที่สมหวังได้ตัวผู้เล่นตามที่ต้องการ หรือบางทีมก็เลือกที่จะไม่เสริมเลย ก็อยู่ที่ปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะสถานะทางการเงิน

หนึ่งในดีลที่หลายคนอาจจะไม่ได้สนใจหรือแทบจะลืมชื่อเขาไปแล้ว ก็คือดีลของ แพทริค คูโตรเน่ อดีตหัวหอกดาวรุ่งพุ่งแรงของ “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน ที่ย้ายมาตกระกำลำบากในอังกฤษกับ “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส เพราะเมื่อได้รับโอกาสก็ไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน

จนล่าสุดในช่วงซัมเมอร์นี้ เขาตัดสินใจย้ายกลับไปค้าแข้งในอิตาลีกับ โคโม่ ทีมในระดับเซเรียบี ตามรอย เชสก์ ฟาเบรกัส ถือว่าเป็นช่วงเวลาอันขมขื่นสำหรับเขา จากสถานะดาวรุ่งพุ่งแรง ค่าตัว 24 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2019 กลายเป็นนักเตะที่ถูกปล่อยออกไปแบบไม่มีค่าตัว

มีแข้งอิตาลีน้อยคนที่จะมารุ่งโรจน์ในอังกฤษอย่าง จานฟรังโก้ โซล่า, เบนิโต้ คาร์โบนี่, โรแบร์โต้ ดิ มัตติโอ หรือเปาโล ดิ คานิโอ้

อย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่ผู้เล่นจากอิตาเลี่ยนคนแรกที่มาล้มเหลวในเวทีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยังมีผู้เล่นอีกมากมาย เรียกได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือสุสานของนักเตะจากแดนมักกะโรนี วันนี้เรายก 5 นักเตะที่น่าสนใจเหล่านี้มาฝากกัน

๐ มาร์โก มาเตรัชซี่ (เอฟเวอร์ตัน 1998-1999)

เด็กหนุ่มจากเมืองเลชเช่ เริ่มเล่นฟุตบอลกับเมสซิน่า ก่อนจะไปแจ้งเกิดกับ เปรูจา จัดว่าเป็นแนวรับจอมถล่มตาข่าย 3 ฤดูกาลลงเล่นไป 49 นัด ยิงได้ถึง 7 ประตู ช่วยให้ เปรูจา เลื่อนขึ้นสูงลีกสูงสุดของอิตาลี

จนในปี 1998 มาเตรัซซี่ ในวัย 25 ปี ได้รับโอกาสย้ายมาค้าแข้งในอังกฤษกับ “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน กลายเป็นกองหลังจอมเถื่อนที่มีสถิติโดนใบแดงไล่ออกจากสนามถึง 3 ครั้งจากการลงเล่น 33 เกมในทุกรายการให้กับทีมดังแห่งย่านเมอร์ซียไซด์ จนสุดท้ายต้องย้ายกลับ เปรูจา ทีมเก่า

เขาได้พูดถึงการใช้ชีวิตในอังกฤษว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบาก สำหรับคนที่มาจากประเทศอื่น เพราะไม่ได้รับเวลาในการปรับตัวเลย แต่ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเขาได้เรียนรู้กับประสบการณ์ที่นั่น และนำมาปรับใช้ในอาชีพค้าแข้ง

“ผมได้เรียนรู้ถึงความหมายของการเป็นคนแปลกหน้าแล้วไปอาศัยในประเทศอื่น มันไม่เหมือนกัน ที่อิตาลี เมื่อมีผู้เล่นต่างชาติย้ายเข้ามาใหม่ พวกเขาจะได้รับเวลาปรับตัวตามที่ต้องการ แต่ที่อังกฤษนั้นต่างออกไป พวกเขาจะคาดหวังกับคุณ”

อย่างไรก็ตาม มาเตรัซซี่ มีชีวิตดั่งฟ้าหลังฝน เขาย้ายไปอยู่กับ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ 5 สมัย อยู่ในชุดทริปเปิ้ลแชมป์ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ และที่สำคัญที่สุดคือการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 กับทีมชาติอิตาลี สร้างชื่อในชอตกระฉ่อนโลกถูก ซีเนอดีน ซีดาน โขกหน้าอกในนัดชิง เป็นเหตุการณ์ที่เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงไม่ลืม

๐ มัสซิโม่ ตาอิบี้ (แมนฯยูไนเต็ด 1999-2000)

ผู้รักษาประตูชาวอิตาเลี่ยน ย้ายจาก เวเนเซีย มาอยู่กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุครุ่งเรืองภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เพิ่งผงาดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาหมาด ๆ

เขาถูกซื้อเข้ามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 4.5 ล้านปอนด์ ในช่วงซัมเมอร์ปี 1999 หลังการอำลาทีมของนายด่านผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ที่ย้ายไปอยู่กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในโปรตุเกส

เขาต้องแย่งชิงมือหนึ่งกับ มาร์ค บอสนิช ที่ไปดึงมาจาก แอสตัน วิลล่า ในช่วงเวลาเดียวกัน และยังมีคนเก่าอย่าง ไรมอนด์ ฟาน เดอร์ ฮาว

โดยลงประเดิมสนามเกมแรกด้วยการพบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดช่วยทีมไปหลายเซฟ จนพ ายูไนเต็ดเฉือนเอาชนะ 3-2 คว้ารางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนั้น

เส้นทางของเขาเหมือนจะดี สลับหมุนเวียนกันลงเฝ้าเสา แต่จุดเปลี่ยนสำคัญมาเกิดขึ้นในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่พบกับ “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน จากจังหวะที่รับลูกยิงอันเบาหวิวของ แมทธิว เลอ ทิสซิเย่ร์ ลอดหว่างขาตัวเอง บอลค่อย ๆ ไหล เข้าประตู.. ชนิดที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะพลาดแบบนั้น เจ้าตัวถูกขนานนามจากหนังสือพิมพ์เมืองผู้ดีว่าเป็น “ไอ้บอดแห่งเวนิส”

หลังจากนั้นเขาเหมือนสูญเสียความมั่นใจทำให้ผลงานไม่ดี โดน “สิงห์บลูส์” เชลซี ถล่มแบบเละเทะ 5-0 ได้ลงเฝ้าเสาไปเพียง 4 เกมเท่านั้น ก่อนจะย้ายออกจากทีมไปในปี 2000 กลับไปอยู่กับ เรจจิน่า ในอิตาลี

เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ถึงความหลัง หากไม่พลาดในเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เขาคงได้อยู่กับ แมนฯยูไนเต็ด นานกว่านี้

“ผมเริ่มต้นได้ดีจริง ๆ หากไม่มีความผิดพลาดในเกมนั้น (เซาธ์แฮมป์ตัน) ผมน่าจะได้อยู่กับ แมนฯยูไนเต็ด นานกว่านี้ ผมมีช่วงเวลาที่ดีและไม่ดีที่นั่น แต่ผมก็มีความสุขกับเส้นทางชีวิตค้าแข้งของตัวเอง” ตาอิบี้ กล่าว

๐ โรลันโด้ เบียงคี่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2007-08)

“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคที่ พันตํารวจโท ทักษิณ ชินวัตร (ยังไม่ถูกถอดยศ) อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เข้าไปเทคโอเวอร์ทีมใหม่ ๆ ในตอนนั้นมีการดึงยอดโค้ชอย่าง สเวน โกรัน อีริคส์สัน เข้ามาคุมทีม ไล่เสริมทัพผู้เล่นใหม่หลายราย ซึ่ง โรลันโด้ เบียงคี่ ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ดาวยิงสัญชาติอิตาเลี่ยนถูกซื้อเข้ามาด้วยค่าตัว 8.8 ล้านปอนด์ หลังหอกวัย 24 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในแผ่นดินเกิดกับ เรจจิน่า ด้วยการซัดไปทั้งหมด 18 ประตูในฤดูกาล 2006-07

ประเดิมสนามได้อย่างสวยหรูด้วยการทำประตูในเกมที่พบกับ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แต่หลังจากนั้นผลงานของเขาไม่ได้ดีอย่างที่คาดเอาไว้

พร้อมกับมีปัญหากับการใช้ชีวิตในอังกฤษ วิจารณ์อาหารการกินของเมืองผู้ดี รวมไปถึงวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนที่นั่น ที่ชอบดื่มแอลกอฮอล์ สุดท้ายก็ไปไม่รอด อยู่กับทีมได้เพียงครึ่งฤดูกาลแรก ก็ถูกปล่อยให้กับ “อินทรีฟ้าขาว” ลาซิโอ้ ยืมตัวไปใช้งาน

ก่อนที่จะถูกขายออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 2008 ให้กับ “กระทิงหิน” โตริโน่ ด้วยค่าตัว 5 ล้านยูโร กลับไปเรียกฟอร์มเก่งอีกครั้งกับทีมดังแห่งตูริน รวม ๆ แล้วอยู่ค้าแข้งในอังกฤษไม่ถึง 6 เดือนด้วยซ้ำ

๐ อัลแบร์โต้ อาควิลานี่ (ลิเวอร์พูล 2009-2012)

หนึ่งในดีลการซื้อผู้เล่นที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ลิเวอร์พูล ย้อนกลับไปเมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2009 ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือของ “หงส์แดง” ต้องการคว้าตัว แกเร็ธ แบร์รี่ มิดฟิลด์สารพัดประโยชน์ของ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า แบบออกหน้าออกตา ไม่เกรงใจคนอยู่มาก่อนอย่าง ชาบี อลอนโซ่ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา

ใจจริง อลอนโซ่ นั้นไม่อยากย้ายเพราะสัญญาของเขากับทีมเหลืออยู่ถึงปี 2012 แต่ก็แอบเคืองกับการกระทำของ “เอล บอส” ที่ไม่เคารพกัน จนสุดท้ายได้รับข้อเสนอจาก “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ทำให้เขาตัดสินใจย้ายกลับไปค้าแข้งในบ้านเกิดด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์

หลังจากนั้น ราฟาเอล เบนิเตซ สั่งบอร์ดเดินหน้าล่าตัว แกเร็ธ แบร์รี่ ที่เล่นได้หลายตำแหน่งเข้ามาเสริมทีมให้ได้ แต่ติดต่อไปแล้ว นักเตะไม่อยากย้ายมา เลือกไปสร้างอนาคตใหม่กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ทำให้ชั่วโมงนั้น ลิเวอร์พูล ต้องเปลี่ยนเป้าหมายสุดท้ายไปจบที่ อัลแบร์โต้ อาควิลานี่ มิดฟิลด์ชาวอิตาเลี่ยนผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าจะเป็นเจ้าชายหมาป่าคนต่อไปของ โรม่า ต่อจาก ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ เขาย้ายเข้ามาด้วยค่าตัว 17 ล้านปอนด์ สวมเสื้อหมายเลข 4 ให้กับทีม

เขาไม่ได้ย้ายมาแต่ตัว แต่พกปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรังมาด้วย กว่าจะได้ลงประเดิมสนามเกมแรกต้องรอจนถึงปลายเดือนตุลาคม ผลงานไม่เป็นที่น่าประทับใจมากนัก ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ในทุกรายการไปทั้งหมด 28 นัด ยิงได้ 2 ประตู

ถูกปล่อยให้กับ ยูเวนตุส และเอซี มิลาน ยืมตัว ก่อนจะย้ายออกไปอยู่กับ ฟิออเรนติน่า แบบไม่มีค่าตัวเมื่อปี 2012 เรียกได้ว่านี่คือดีลที่ผิดพลาดสุด ๆ ของ ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ทิ้งหลุมดำใหญ่เบอเร่อไว้ให้กับ ลิเวอร์พูล ในตอนนั้น

๐ ซิโมเน่ ซาซ่า (เวสต์แฮม ยูไนเต็ด)

ดาวยิงจอมวัย 31 ปี ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้เล่นไร้สังกัด สร้างชื่ออันโด่งดังกับลีลาการซอยเท้ายิงจุดโทษตัดสินเกมที่ อิตาลี พบกับ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ในรอบก่อนรองชนะเลิศของศึกยูโร 2016

ดาวยิงอิตาเลี่ยนจอมซอยรายนี้ เคยย้ายจาก “ม้าลาย” ยูเวนตุส มาวาดลวดลายในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กับ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต้ด ด้วยสัญญายืมตัวเมื่อปี 2016 โดยมีค่ายืมอยู่ที่ 5 ล้านยูโร บวกกับอ็อปชั่นในการซื้อขาดด้วยราคา 20 ล้านยูโร ประเดิมสนามเกมแรกกับทีมด้วยการพ่ายให้กับ “แตนอาละวาด” วัตฟอร์ด 4-2

ชีวิตการค้าแข้งในอังกฤษของเขาต้องบอกว่าไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไป 8 เกม บอลถ้วยอีก 3 นัด รวมแล้ว 11 เกมยิงประตูไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว ทำให้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทนไม่ไหวของยกเลิกสัญญายืมตัว ส่งกลับไปยัง ยูเวนตุส ในช่วงกลางซีซั่นเดือนมกราคม

พอกลับไป “ม้าลาย” ก็ไม่เอา ส่งต่อให้ “ค้างคาว” บาเลนเซีย ยืมตัวตามด้วยทีมอื่น ๆ จนสุดท้ายมาอยู่กับ “กระทิงหิน” โตริโน่ และเพิ่งหมดสัญญาไปเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา กลายเป็นผู้เล่นฟรีเอเย่นต์ที่ไม่มีใครอยากได้ ถือว่าเส้นทางการค้าแข้งของเขาสั้นเหลือเกิน