ถ้วยอาถรรพ์? : ย้อน 5 ครั้งหลังหงส์คว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์

ถ้วยอาถรรพ์? : ย้อน 5 ครั้งหลังหงส์คว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์

ลิเวอร์พูล ประเดิมแชมป์แรกในฤดูกาล 2022-23 ด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ในศึกคอมมูนิตี้ ชิลด์ ประจำปีนี้ แต่ความสำเร็จนี้ถือเป็นลางดีหรือไม่ในฤดูกาลใหม่ต่อจากนี้?

‘หงส์แดง’ คว้าโล่การกุศลไปทั้งหมด 16 ครั้ง นับตั้งแต่มีการเตะรายการนี้ครั้งแรกในปี 1908 โดยรั้งอันดับ 2 ร่วมกับ อาร์เซน่อล แต่แชมป์ครั้งล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ที่คว้าแชมป์รายการนี้ นับตั้งแต่ปี 2006

ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาไปย้อนถึง 5 ครั้งก่อนที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ แบบเดี่ยว หรือร่วมกับทีมอื่น และชะตากรรมอย่างไรในฤดูกาลต่อจากนั้นผ่านบทความชิ้นนี้

 

2006 | ชนะ เชลซี 2-1

หลังจากที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กลายเป็นฮีโร่ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เวสต์แฮม ในนัดชิงชนะเลิศของ เอฟเอ คัพ ปี 2006 นั่นก็ทำให้พวกเขาได้เผชิญหน้ากับ เชลซี ในศึกคอมมูนิตี้ ชิลด์ ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2006-07 ตามธรรมเนียม

ยอร์น อาร์เน่-ริเซ่ กดประตูให้ ‘หงส์แดง’ นำไปก่อนช่วงต้นเกม ก่อนที่ช่วงท้ายครึ่งแรก อันเดร เชฟเชนโก้ จะยิงประตูตามตีเสมอให้ ‘สิงห์บลูส์’ แต่ทว่าในช่วงนาทีที่ 80 ปีเตอร์ เคร้าช์ ก็มาโขกประตูชัยให้ทีมคว้าแชมป์โล่การกุศลไปครอง

“ผมมีความสุขกับทีมของผมนะ มันเป็นสิ่งสำคัญที่ได้เห็นฟอร์มทั้งทีมและอัตราการทำงานของผู้เล่นนั้นยอดเยี่ยมมาก” ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือของ ลิเวอร์พูล กล่าวในตอนนั้นหลังเกม

“มันสำคัญเสมอที่จะเอาชนะทีมระดับบน และมันสำคัญกว่าในกรณีนี้เพราะมีโอกาสคว้าถ้วยรางวัล มันจะดีกับความมั่นใจของเรา”

“ฤดูกาลที่แล้ว เรามีปัญหาเพราะเรามีแค่ (ฌิบริล) ซิสเซ่ ที่มีความเร็ว แต่ตอนนี้เรามีทั้ง (เคร็ก) เบลลามี่, (มาร์ค) กอนซาเลซ และ (เจอร์เมน) เพนเนนท์ เรามีตัวเลือกมากขึ้นกับผู้เล่นที่สามารถวิ่งหาช่องได้”

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงบอกว่าทีมของเราดีกว่าในฤดูกาลที่แล้ว ตอนนี้เราต้องพัฒนาต่อไป ถ้าคุณถามว่าเราฟิตแค่ไหน? ก็อาจจะ 40%, 50% หรือ 60% แต่เราจะพัฒนาขึ้นไปในแต่ละเกม และเราจะได้เห็นความแตกต่าง”

แม้คุยโวไว้พอสมควร แต่เมื่อเปิดฤดูกาลจริงๆ ‘หงส์แดง’ พ่ายไปถึง 4 จาก 9 เกมแรกในพรีเมียร์ลีก ซึ่งหนึ่งในนั้นร่วมไปถึงเกมที่บุกไปโดน เอฟเวอร์ตัน อริร่วมเมืองถล่มยับ 3-0 ด้วย

แต่ เบนิเตซ ก็ค่อยๆพาทีมคืนฟอร์มจนรั้งอันดับหัวตารางได้อีกครั้ง ขณะที่การเซ็น ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ เข้ามาก็ช่วยสร้างอิมแพ็คในทีมได้ดีมากขึ้น จนท้ายที่สุดในปีนั้น ทีมจบอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก แต่ก็เก็บแต้มได้เพียง 68 คะแนน น้อยกว่าฤดูกาลที่แล้วถึง 14 คะแนน แม้จบอันดับเดียวกันก็ตาม

ขณะที่บอลถ้วยในประเทศ พวกเขาก็ไปไม่ได้ไกลนัก เมื่อพ่ายให้กับ อาร์เซน่อล ทั้ง เอฟเอ คัพ และ ลีกคัพ ทั้ง 2 รายการ ผิดกับในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ล้มทั้ง บาร์เซโลน่า, พีเอสวี และ เชลซี ในรอบน็อคเอ้าท์ จนเข้าไปพบกับ เอซี มิลาน ในนัดชิง ซึ่งถือเป็นการรีแมตช์เกมชิงดำในปี 2005 ด้วย

แต่ครั้งนี้กลายเป็น ‘รอสโซเนรี่’ ที่ล้างแค้นได้สำเร็จ และเอาชนะไปได้ 2-0 จากการเหมา 2 ประตูของ ฟิลิปโป้ อินซากี้

 

2001 | ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1

ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าบอลถ้วย 3 รายการในฤดูกาล 2000-01 และการเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ก็ทำให้ะวกเขาได้ดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์พรีเมียร์ลีก ในศึกคอมมูนิตี้ ชิลด์ ช่วงเริ่มต้นซีซั่น 2001-02

แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ ยิงจุดโทษให้ ‘หงส์แดง’ ขึ้นนำไปก่อนช่วง 2 นาทีแรก และได้ ไมเคิ่ล โอเว่น กดประตูที่ 2 ในอีก 12 นาทีต่อมา แม้รุด ฟาน นิสเตลรอย ยิงประตูตีไข่แตกให้ ‘ปีศาจแดง’ ได้ในครึ่งหลัง แต่ก็ทำอะไรเพิ่มเติมไม่ได้ ส่งผลให้ฝ่ายแรกคว้าแชมป์ไปครอง

“ฤดูกาลที่แล้ว เราบอกกับผู้เล่นว่าพวกเขากำลังตั้งเป้าอันดับ 3 ตอนนี้ เราจะบอกว่าเรากำลังมองถึงการพัฒนาขึ้นไปกว่าอันดับ 3” เชราร์ อุลลิเย่ร์ กุนซือของ ลิเวอร์พูล ในตอนนั้น กล่าว

“ผมคิดว่า ยูไนเต็ด ดีกว่าทีมของผม แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พัฒนาและสามารถก้าวขึ้นไประดับเดียวกับพวกเขา”

หลังเอาชนะ ยูไนเต็ด ยอดทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ ก็เฉือนชนะ บาเยิร์น มิวนิค 3-2 คว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ซึ่งนั่นถือเป็นแชมป์รายการที่ 5 ที่พวกเขาทำได้ในปี 2001 ด้วย

แต่หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็พลาดท่าพ่าย กริมส์บี่ ทาวน์ ไปแบบสุดช็อคในเดือนตุลาคม ก่อนที่ อุลลิเย่ร์ จะมีอาการป่วยต้องเข้ารับการรักษา ทำให้ ฟิล ธอมป์สัน มือขวาของเขาต้องเข้ามาทำหน้าที่รักษาการณ์

ธอมป์สัน พา หงส์แดง รั้งอันดับจ่าฝูงในช่วง 14 เกมแรก แต่หลังจากนั้น ก็ชนะ 1, เสมอ 5 และแพ้ 3 จากทั้งหมด 9 เกมต่อมา อีกทั้งยังโดน อาร์เซน่อล เขี่ยตกรอบ เอฟเอ คัพ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันด้วย

อุลลิเย่ร์ กลับมาทำหน้าที่อีกครั้งในเดือนมีนาคม ซึ่งก็ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ลีกกับ 5 นัดสุดท้าย รวมไปถึง แชมเปี้ยนส์ลีกด้วย แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน เมื่อพ่าย ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยสกอร์รวม 4-3 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย 

ส่วนในบอลลีก พวกเขาก็จบอันดับที่ 2 ตามหลังแชมป์อย่าง อาร์เซน่อล แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ทำสถิติเก็บได้ 80 แต้มเป็นครั้งแรกในยุคพรีเมียร์ลีก รวมถึงจบอันดับเหนือกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1990-91 ด้วย

 

1990 | เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1

ลิเวอร์พูล ได้มาดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในคอมมูนิตี้ ชิลด์ ในปี 1990 ซึ่งสมัยนั้นใช้ชื่อเก่าว่า แชริตี้ ชิลด์ อยู่ และทั้ง 2 ทีมก็คว้าแชมป์ร่วมกัน หลังเสมอกัน 1-1 ที่เวมบลี่ย์

เมื่อเริ่มต้นฤดูกาล ‘หงส์แดง’ โชว์ฟอร์มไฉไลสุดๆ ชนะรวด 8 นัดแรกในลีก รวมถึงไปถึงไม่แพ้ใครในช่วง 15 นัดแรกด้วย ทว่าการพ่ายให้กับ อาร์เซน่อล 3-0 ในเดือนธันวาคมปี 1990 ทำให้ฟอร์ม ‘หงส์แดง’ ค่อยๆหลุด ส่งผลให้ ‘ปืนใหญ่’ ขึ้นไปคว้าจ่าฝูงของ ดิวิชั่น 1 แทนที่พวกเขาในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา

ลิเวอร์พูล เจอเรื่องชวนช็อกยิ่งกว่าเดิม เมื่อ เคนนี่ ดัลกลิช ลาตำแหน่งกุนซือในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1991 ทำให้ รอนนี่ โมแรน เข้ามาทำหน้าที่รักษาการณ์ ก่อนที่อีก 2 เดือนต่อมา แกรม ซูเนสส์ จะเข้ามาทำหน้าที่นี้

พวกเขาพ่ายไป 5 จาก 15 เกมลีกภายใต้การดูแลของ โมแรน และ ซูเนสส์ ก่อนเข้าป้ายจบอันดับ 2 ในฤดูกาล 1990-91 ตามหลัง อาร์เซน่อล ทีมแชมป์อยู่ 6 แต้ม

คอมมูนิตี้ ชิลด์ กลายเป็นแชมป์เดียวของ ‘หงส์แดง’ ในซีซั่นนั้น เนื่องจากพวกเขาโดน เอฟเวอร์ตัน เขี่ยตกรอบ เอฟเอ คัพ รวมไปถึงในลีก คัพ ก็ร่วงหลังโดน แมนฯ ยูไนเต็ด ถล่มไป 3-1 ด้วย

 

1989 | ชนะ อาร์เซน่อล 1-0

ในฐานะที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ดวลกับ อาร์เซน่อล ในศึก แชริตี้ ชิลด์ และ ประตูโทนของ ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ ก็ช่วยให้ ‘หงส์แดง’ คว้าแชมป์โล่การกุศล เหนือ ‘ปืนใหญ่’

ในฐานะทีมเต็ง ลิเวอร์พูล ก็โชว์ฟอร์มได้สมราคา ด้วยการชนะ 5 จาก 8 เกมแรกในดิวิชั่น 1 ซึ่งรวมไปถึงเกมถล่ม คริสตัล พาเลซ 9-0 ด้วย

ทว่าจู่ฟอร์มของทีมในลีกก็ตกลงดื้อๆในเดือนตุลาคม และ พฤศจิกายน เมื่อพ่ายทั้ง เซาแธมป์ตัน, โคเวนทรี่, คิวพีอาร์ และ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์

อย่างไรก็ตาม ทีมของ ดัลกลิช ก็แพ้เพียงแค่เกมเดียวในอีก 6 เดือนต่อมา คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 18 ไปอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีแต้มนำห่าง แอสตัน วิลล่า ทีมอันดับ 2 อยู่ 9 แต้ม

ส่วนบอลถ้วย พวกเขาก็โดน อาร์เซน่อล เขี่ยตกรอบในลีก คัพ ขณะที่ เอฟเอ คัพ ก็ไปไกลถึงรอบตัดเชือก ก่อนพ่ายให้กับ คริสตัล พาเลซ 4-3

 

1988 | ชนะ วิมเบิลดัน 2-1

ลิเวอร์พูล เตรียมพบกับ วิมเบิลดัน ในศึก คอมมูนิตี้ ชิลด์ ปี 1988 และกำลังเฝ้ารอการล้างแค้น เนื่องจากพวกเขาพ่ายให้กับเหล่า ‘เครซี่ แก็งค์’ ในนัดชิงดำ เอฟเอ คัพ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้

จอห์น ฟาชานู ยิงประตูให้ วิมเบิลดัน ขึ้นนำไปก่อน แต่ จอห์น อัลดริดจ์ ผู้ที่พลาดจุดโทษในนัดชิงเอฟเอ คัพ นัดชิง ก็เหมา 2 ประตูในเกมนี้ช่วยให้ หงส์แดง เอาชนะไป 2-1

อย่างไรก็ตาม ฤดูกาล 1988-98 กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่น่าเศร้า เมื่อเกิดโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ ส่งผลให้ เดอะ ค็อป ร่วม 95 รายต้องเสียชีวิตลงในเกมเอฟเอ คัพ รอบตัดเชือกที่พบกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 

หลังจากนั้น ‘หงส์แดง’ เอาชนะ ‘เจ้าป่า’ ได้ในเกมที่จัดเวลาแข่งขึ้นใหม่ ก่อนคว้าแชมป์ถ้วยในบั้นปลาย หลังเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-2 ในนัดชิง

ขณะที่ฟุตบอลลีก ลิเวอร์พูล ก็ยังลุ้นแชมป์ร่วมกับ อาร์เซน่อล อย่างเข้มข้น โดยในเกมสุดท้าย พวกเขามีแต้มห่างจาก ‘ปืนใหญ่’ เพียง 3 แต้ม และต้องพบกันในวันสุดท้ายของฤดูกาล 1989-90

แม้ว่าตามหลัง 1-0 ในนาทีที่ 90 ลิเวอร์พูล ก็ยังเป็นจ่าฝูงอยู่ ทว่าการที่ ไมเคิ่ล โธมัส ซัดประตูที่ 2 ในเกมนั้น ทำให้ อาร์เซน่อล เอาชนะไป 2-0 คว้าแชมป์ลีกไปครอง ด้วยผลประตูได้เสียที่ดีกว่า

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

สารพัดประโยชน์ : ทำไมซินเชนโก้ถึงเหมาะกับปืนในยุคอาร์เตต้า
สารพัดประโยชน์ : ทำไมซินเชนโก้ถึงเหมาะกับปืนในยุคอาร์เตต้า