ศึกแดงเดือดในฤดูกาลนี้ นับเป็นเกมที่น่าติดตามที่สุดในรอบหลายปี หลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยกระดับผลงานในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนก้าวขึ้นมาเป็นจ่าฝูงอยู่ในเวลานี้
การเผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล หนนี้ ทั้งสองทีมอยู่ในสถานะที่สมศักดิ์ศรี เป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์ลีกทั้งคู่ ซึ่งตลอด 90 นาทีห่ำหั่นกันด้วยแท็กติกมากมาย แต่สุดท้ายกินกันไม่ลงแบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน
หลังเกมนี้มีอะไรน่าพูดถึงมากมาย โดยเราขอหยิบมา 5 ประเด็นดังนี้ที่เชื่อว่าคุณผู้อ่านน่าจะเห็นด้วยได้ไม่ยาก
1.ผีแดงควรเสียดาย 3 แต้มมากกว่า
แม้จบเกม ลิเวอร์พูล จะครองบอลได้มากกว่าเกือบ 2 เท่า (66%-34%) แต่เอาเข้าจริงเหมือนพวกเขากำลังเต้นรำอยู่บนฝ่ามือของคู่แข่งมากกว่า เรื่องของแท็กติกวันนี้ต้องบอกว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เป็นฝ่ายชนะคะแนน เจอร์เก้น คล็อปป์
“ผีแดง” ทำตัวชัดเจนว่าต้องการจะเล่นเกมรับแล้วโต้กลับ ซึ่งพวกเขาก็ทำออกมาได้ดี จริงอยู่ที่ “หงส์แดง” ก็มีโอกาสพาบอลเข้าไปลุ้นในเขตโทษ แต่ในพื้นที่สุดท้ายกลับถูกบีบ ถูกทำให้เล่นยาก ยิงยาก 17 ครั้งที่ซัดในเกมนี้ เสียวจริงๆ ไม่น่าจะเกิน 2 จังหวะ
จริงอยู่เกมโต้กลับของ แมนฯ ยูไนเต็ด จะบ่มิไก๊ โดยเฉพาะ 45 นาทีแรกที่จังหวะสวนกลับไปเสียจากการถูกจับล้ำหน้าเป็นส่วนใหญ่ เกมริมเส้นที่ให้ ป็อกบา อยู่ขวาแทบไร้แรงคุกคาม ส่วน มาร์กซิยาล อาจจะสวมบท “พ่องูเอ๋ย” เลี้ยงผ่านถึง 6 ครั้งใน 45 นาทีแรก ทว่าเอาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่ “ผีแดง” ก็ฉลาดที่เล่นกับเวลา เหมือนนักมวยที่ตั้งกาดไว้แน่นจนกระทั่งคู่แข่งอ่อนแรงก็ส่ง เอดินสัน คาวานี่ ลงมากดดัน แรชฟอร์ด ถูกยกมาเล่นปีกซ้ายมีบทมากขึ้น 2 จังหวะจาก บรูโน่ กับ ป็อกบา ที่ติดเซฟ ถือว่าจะแจ้งที่สุดในเกมนี้ และน่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่เป็นประตู และพวกเขาไม่ได้ 3 คะแนน
2.”ลุค ชอว์” ฟอร์มโคตรเด่น
จริงๆ เกมนี้แนวรับของ ผีแดง เล่นได้ดีแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแผงแบ็กโฟร์ที่ยืนตำแหน่งกันได้ค่อยข้างดี แฮร์รี่ แม็คไกวร์ โผล่ไปสกัดจังหวะสำคัญๆ ได้อยู่บ่อยครั้ง หรือจะเป็นคู่มิดฟิลด์ทั้ง แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด ก็เข้าใจหน้าที่ตัวเองเป็นอย่างดี
แต่ที่เด่นสะดุดตาที่สุดเลยในวันนี้ต้องยกให้กับ ลุค ชอว์ ที่เกมรับปิดพื้นที่ทางซ้ายได้อย่างเนียนกริบ ไม่ว่าจะเป็น ซาลาห์ หรือ มาเน่ ที่สลับฝั่งกันมาก็ไม่มีกินเขาลง โดยเฉพาะเจ้าชายมัมมี่ ที่วันนี้จบเกมด้วยการมีสถิติเลี้ยงไม่ผ่านใครเลย
ในขณะที่เกมรุกก็ทำได้ดีแม้จะบุกน้อย แต่ขึ้นไปทีก็ได้น้ำได้เนื้อโดยเฉพาะนาที 85 ที่อ้อมหลัง แรชฟอร์ด ไปคัตแบ็กกลับมาให้ บรูโน่ ได้ยิงเหน่งๆ เกือบเป็นประตูชัยให้ทีมถ้าไม่ไปติด อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่เซฟได้เยี่ยม
3.ผีแดงเกมใหญ่ที่ยังไร้ชัย
การบุกมาเก็บอย่างน้อย 1 แต้มจากถิ่นแอนฟิลด์ ภาพรวมสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เพราะอย่างน้อยๆ ลิเวอร์พูล ก็ถือดีกรีแชมป์เก่า และเกมในบ้านของพวกเขาก็โหดมากๆ ผีแดง มาเยือน 2 เกมก่อนหน้านี้ก็แพ้รวด
ที่สำคัญมันทำให้พวกเขายังรั้งตำแหน่งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ต่อไปอีกอย่างน้อยๆ 1 นัด แต่อย่างไรก็ตามก็อดห่วงไม่ได้ เพราะซีซั่นนี้เจอทีมจากท็อปซิกซ์ครบแล้วทั้ง 5 ทีม เชื่อหรือไม่ว่าพวกเขายังไม่ชนะเลย เก็บได้เพียง 3 แต้มเท่านั้น
ถ้าลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ จะคิดการใหญ่ขอลุ้นแชมป์กับเขาด้วยในซีซั่นนี้ การตัดแต้มกันเองกับทีมหัวตารางยังไงมันควรจะชนะได้บ้าง เพราะถ้าชนะมันหมายถึงแต้มที่มีค่าไปกลับถึง 6 คะแนน ตรงนี้ในเลกที่สองต้องรีบปรับปรุงเลย
4.หงส์แดงกับปัญหาเกมรุก
ในขณะที่สาวก “เดอะ ค็อป” เป็นกังวลกับปัญหาแนวรับที่ตัวหลักในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟทั้ง เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค และ โจ โกเมซ มานัดกันเจ็บยาว ขณะที่ โฌแอล มาติป ก็ออดๆ แอดๆ มาตลอดเช่นเดียวกัน
ทว่าทำไปทำมาเกมรับที่ขัดตาทัพโดย ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน รวมถึง 2 ดาวรุ่งอย่าง รีส วิลเลี่ยมส์ และ แนท ฟิลลิปส์ ก็พอถูไถเอาตัวรอดกันมาได้อย่างน่าพอใจ มีเกมที่ไม่ดีอยู่บ้าง แต่รวมๆ ถึงว่าน้อยเลย
อย่างไรก็ตามตอนนี้กับเป็นเกมรุกที่อยู่ดีๆ ก็ “ช็อต” ไปดื้อๆ นับรวมเกมเจ๊าผีแดง ทำให้ ลิเวอร์พูล ยิงประตูไม่ได้ในพรีเมียร์ลีก 3 นัดติดต่อกันเป็นหนแรกตั้งแต่ปี 2005 และไม่ชนะใครในลีก 4 เกมติดต่อกันเป็นหนแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2017
การขาดหายไปของ ดิโอโก้ โชต้า ที่ฟอร์มกำลังดีมีผลเยอะ โดยเฉพาะ 3 ผสานที่ขาดคนแย่งตำแหน่งที่สูสี เกมนี้ที่น่าบ่นหน่อยก็คงเป็น ฟีร์มิโน่ ที่ควรทำได้ดีกว่านี้ จังงหวะสุดท้ายการตัดสินใจไม่ดีเลย เอาแค่ครึ่งแรกดโอกาส 4 ครั้ง มันควรได้ลุ้นบ้าง
5.”เทรนท์” ฟอร์มตก?
ในช่วงปีที่ผ่านมา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ สถาปนาตัวเองก้าวขึ้นมาเป็นแบ็กขวาระดับโลก เขาได้รับคำชมมากมาย ถึงขนาดที่ คาฟู แบ็กระดับตำนานของบราซิล ยังออกมาอวยว่าอาจเป็นฟูลแบ็กที่ลุ้นรางวัลบัลลง ดอร์ ได้เลย
ทว่าดาวเตะวัย 22 ปี กำลังจะเผชิญกลับห้วงเวลาที่ท้าทาย หลังกำลังอยู่ในช่วงขาดความมั่นใจ เกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เจอสถิติฟ้องทำเสียบอลมากถึง 38 ครั้งมากที่สุดต่อเกมในฤดูกาลนี้
ส่วนเกมกับ ผีแดง ครึ่งหลังก็มีจังหวะลกเคลียร์บอลไม่ดีอยู่ 1-2 จังหวะ ขณะที่เกมรุกจริงๆ ก็ขึ้นเกม เชื่อมเกมได้ดีอยู่ แต่ที่ขาดหายไปคือคุณภาพในลูกครอสที่เป็นจุดขาย วันนี้โยนไป 10 ครั้งไม่มีเข้าเป้าเลยแม้แต่หนเดีย