ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ไม่เคยหยุดนิ่งสร้างความประทับใจให้แฟนฟุตบอลทั่วโลก ปีแล้วปีเล่าที่ศึก UCL ได้สร้างช่วงเวลาสุดพิเศษและน่าจดจำให้แฟนบอลที่หลงใหลในกีฬาลูกหนัง
ไม่มีใครปฏิเสธว่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นการแข่งขันชิงแชมป์ระดับสโมสรที่โด่งดังที่สุดในโลก และการเข้าร่วมการแข่งขันเป็นความฝันสูงสุดสำหรับสโมสรส่วนใหญ่ในทวีปยุโรป ดังนั้นการผ่านเข้ามาเล่นในรายการนี้เป็นครั้งแรกย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี แม้ส่วนใหญ่พวกเขาจะต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจากการแข่งขันที่เข้มข้น
อย่างไรก็ตาม มีทีมน้องใหม่ไม่กี่ทีมที่หักปากกาเซียน สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการล้มทีมยักษ์ หรือทำผลงานจนผ่านเข้าไปเล่นรอบลึกๆในปีแรกของการเล่นในทัวร์นาเม้นต์ อย่างเช่นที่ เชอร์ริฟ ติราสโพล สโมสรจาก มอลโดว่า บุกมาชนะ เรอัล มาดริด ยอดทีมจากสเปนได้ถึงถิ่น 2-1 ในรอบแบ่งกลุ่มของฤดูกาลนี้
UFA ARENA จึงขอพาไปพบกับบรรดาทีมน้องใหม่ในประวัติศาสตร์ UCL ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมและน่าประทับใจ แม้เป็นปีแรกที่เข้าร่วมในทัวร์นาเม้นต์ก็ตาม
อนอร์โธซิส ฟามากุสต้า | ฤดูกาล 2008-09
สโมสรดังจากไซปรัส เข้ามาสร้างประวัติศาสตร์ในปี 2008 ด้วยการเป็นทีมแรกของประเทศที่ผ่านเข้ามาเล่นในรอบแบ่งกลุ่มของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งแค่นี้ก็ถูกยกให้เป็นความสำเร็จสูงสุดของวงการลูกหนังไซปรัสจากสื่อในประเทศแล้ว หลังฝ่าด่านในรอบเพลย์ออฟจนเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายได้
ในรอบแบ่งกลุ่ม อนอร์โธซิส ถูกมองเป็นสมันน้อยตามสูตร เมื่อต้องอยู่ร่วมกับ อินเตอร์ มิลาน, แวร์เดอร์ เบรเมน และ พานาธิไนกอส ที่ล้วนมีประสบการณ์ในบอลยุโรปมาอย่างโชกโชน
แม้สุดท้าย พวกเขาจะจบอันดับบ๊วยของกลุ่ม แต่ก็ไม่ใช่ทีมหมูแจกแต้มให้คู่แข่งเช่นกัน เมื่อทำได้ถึง 6 แต้ม จากการเสมอ ‘งูใหญ่’ และ เบรเมน ด้วยสกอร์ 3-3 และ 2-2 ตามลำดับ รวมไปถึงถล่มทีมดังจาก กรีซ ไปถึง 3-1 ซึ่งนี่ถือเป็นปีที่สโมสรไซปรัสประสบความสำเร็จในฟุตบอลยุโรปมากที่สุดเลยก็ว่าได้
ลาซิโอ | ฤดูกาล 1999-00
แม้ว่าคว้าแชมป์ เซเรียอา ในปี 1974 แต่ ลาซิโอ ก็โดนห้ามเข้าร่วมชิงชัยในศึก ยูโรเปี้ยน คัพ ในฤดูกาล 1974-75 เนื่องจากถูกแบนเป็นเวลา 12 เดือนจากปัญหาเกี่ยวกับแฟนบอลในศึก ยูฟ่า คัพ ฤดูกาลก่อน และ ‘อินทรีฟ้าขาว’ ต้องรอคอยกว่า 25 ปีถึงได้กลับมาเล่นในฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่เป็นครั้งแรก
สโมสรจาก อิตาเลี่ยน อยู่กลุ่มเดียวร่วมกับ ดินาโม เคียฟ, ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และ มาริบอร์ แม้เป็นปีแรกในบอลยุโรป แต่คุณภาพกับชื่อชั้นของ ลาซิโอ ก็เหนือกว่าทุกทีม ด้วยการเก็บไป 14 แต้มคว้าแชมป์กลุ่มไปครอง โดไม่แพ้ใครเลยสักนัด
ในรอบแบ่งกลุ่มที่ 2 ลาซิโอ เจอศึกหนัก เมื่อต้องเจอกับ เชลซี, เฟเยร์นู้ด และ มาร์กเซย แต่พวกเขาก็ยังโชว์ฟอร์มเยี่ยมอีกครั้งกับการคว้าแชมป์กลุ่ม จนได้ผ่านเข้าไปดวลกับ บาเลนเซีย ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม ‘ไอ้ค้างคาว’ ชุดนั้นต้องบอกว่าแข็งแกร่งว่าที่ ลาซิโอ จะต่อกรไหว เมื่อพ่ายไปก่อนในเกมแรก 5-2 และตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 5-3 ในเกมเลกสอง แต่นี่ก็ถือเป็นปีที่สโมสรจากกรุงโรมประสบความสำเร็จใน UCL แล้ว เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีครั้งไหนที่พวกเขาผ่านเข้ารอบมาไกลถึงขั้นนี้
เลสเตอร์ ซิตี้ | ฤดูกาล 2016-17
จากทีมที่ถูกมองว่าจะหนีตกชั้นอีกฤดูกาล เลสเตอร์ กลับสร้างปาฏิหารย์ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกปี 2016 ส่งผลให้พวกเขาได้เข้ามาเล่นในฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
คู่แข่งที่ ‘จิ้งจอกสีน้ำเงิน’ ต้องเจออาจไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ประสบการณ์ในบอลยุโรปก็เหนือกว่าชัดเจน ทั้ง ปอร์โต้, โคเปนเฮเก้น และ คลับ บรูซ แต่ทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ก็การันตีเข้ารอบน็อคเอ้าท์หลังเล่นไป 5 นัด และพ่ายแค่เกมสุดท้ายกับ ปอร์โต้ พร้อมจบรอบนั้นในฐานะแชมป์กลุ่ม
แม้ต้องตกเป็นรองในเกมแรกของรอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังบุกไปพ่าย เซบีย่า 2-1 แต่ เดอะ ฟ็อกซ์ ก็พลิกสถานการณ์กับเกมเลกสองในบ้านจนเอาชนะ และผ่านเข้ารอบต่อไปด้วยสกอร์รวม 3-2 แม้สุดท้ายต้องจอดป้ายในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของ แอตเลติโก้ มาดริด แต่ก็สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีกับสกอร์รวมที่พ่ายแบบฉิวเฉียด 2-1
เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า | ฤดูกาล 2000-01
ฮาเวียร์ อิรูเรต้า กลายเป็นกุนซือประวัติศาสตร์ของ เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า เมื่อพาทีมคว้าแชมป์ลาลีก้าหนแรกในฤดูกาล 1999-00 ซึ่งทำให้พวกเขาได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นรายการแชมเปี้ยนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มทันที
พานาธิไนกอส, ฮัมบูร์ก และ ยูเวนตุส คือสโมสรคู่แข่งที่ ซูเปอร์ เดปอร์ ต้องดวลในรอบแรก แต่พวกเขากลับทำผลงานได้ดีเกินคาดกับปีแรกในบอลยุโรป ด้วยเก็บไป 10 แต้ม แบ่งเป็น ชนะ 2 เสมอ 4 และไม่แพ้ใคร เข้ารอบไปในฐานะแชมป์กลุ่ม ผิดกับ ‘ม้าลาย’ ที่ตกรอบในฐานะบ๊วยซะอย่างนั้น
รอบแบ่งกลุ่มที่ 2 หนักว่าเดิมอีกเท่าตัว เมื่อต้องดวลกับ เอซี มิลาน, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ กาลาตาซาราย แต่ฟอร์มก็ยังร้อนแรงด้วยการคว้าแชมป์กลุ่มอีกครั้ง โดยมี 10 แต้มเท่าทีมจากตุรกี แต่ลูกได้เสียดีกว่า
แม้ไปพ่าย ลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์รวมฉิวเฉียด 2-3 แต่ ลา กอรุนญ่า ก็ผ่านเข้ามาเล่นใน UCL อีก 4 ฤดูกาลติตด่อกัน และสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการไปไกลถึงรอบตัดเชือกในฤดูกาล 2003-04 ด้วยก่อนพ่ายให้กับ ปอร์โต้ ว่าที่แชมป์ในปีนั้น
มาลาก้า | ฤดูกาล 2012-13
ชีคอับดุลลาห์ บิน อัล-ทานี รองประมุขแห่งรัฐกาตาร์ ได้เข้ามาเทคโอเวอร์ มาลาก้า ในเดือนมิถุนายน ปี 2010 และยกระดับให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าตัว จนสามารถทำอันดับคว้าสิทธิ์ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2012-13 ในยุคที่ มานูเอล เปเยกรินี่ กุมบังเหียน
ถึงต้องเจอกับ เซนิต, อันเดอร์เลชท์ และ เอซี มิลาน แชมป์ยุโรป 7 สมัย แต่ตัวแทนจากแคว้นอันดาลูเซีย ก็โชว์ฟอร์มได้แจ่มเกินคาดด้วยการคว้าแชมป์กลุ่ม โดยเก็บไป 12 แต้ม และไม่แพ้ใครเลย
ปอร์โต้ เป็นคู่แข่งที่รออยู่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ มาลาก้า ก็ยังพลิกสถานการณ์จากที่พ่ายในนัดแรก 1-0 เข้าต่อไปได้ด้วยสกอร์รวม 2-1 ก่อนไปพ่าย โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยสกอร์รวม 3-2
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นฤดูกาลเดียวที่ มาลาก้า ได้เล่นในบอลยุโรปถ้วยใหญ่ และถูกแบนจากฟุตบอลระดับทวีปในฤดูกาลต่อมา เนื่องจากปัญหาหนี้สินการเงิน เสียสิทธิ์ไปเล่น ยูโรป้า ลีก ในฤดูกาล 2013-14 และไม่เคยกลับมาถึงจุดนี้อีกเลย
อตาลันต้า | ฤดูกาล 2019-20
นับตั้งแต่ จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ เข้ามากุมบังเหียน อตาลันต้า ในปี 2016 ทีมก็ยกระดับจากสโมสรกลางตารางไปลุ้นตั๋วฟุตบอลยุโรปอย่างเต็มตัว พร้อมได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งแรกในฤดูกาล 2019-20 หลังคว้าอันดับ 3 ในเซเรียอา
ทว่า 3 นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่ม ทีมจาก แบร์กาโม่ กลับพ่ายให้คู่แข่งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ดินาโม ซาเกร็บ, ชัคตาร์ โดเน็คส์ต และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนที่จะงัดฟอร์มเก่งใน 3 เกมสุดท้ายด้วยการคว้า 7 แต้ม เข้ารอบต่อไปแบบหืดจับ
อย่างไรก็ตาม อตาลันต้า ก็โชว์ฟอร์มที่ดีที่สุดในรอบน็อคเอ้าท์ด้วยการถล่ม บาเลนเซีย ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเกมแรก ด้วยสกอร์ 4-1 และบุกไปเฉือนชนะถึง เมสตาย่า 4-3 ในเกมเลกสอง เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์รวม 8-4
แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ร่ะบาดในยุโรปตั้งแต่ช่วงมีนาคม ทำให้การแข่งขันถูกระงับไว้ก่อน เช่นเดียวกับ UCL จากนั้นจึงกลับมาเตะกันอีกครั้งในเดือนสิงหาคม โดยตัดสินแค่นัดเดียว ก่อนพ่ายให้กับ เปแอสเช 2-1
บียาร์เรอัล | ฤดูกาล 2005-06
บียาร์เรอัล ถือเป็นทีมแรกในยุโรปที่ มานูเอล เปเยกรินี่ ได้เข้ามาคุมทีม และเป็นสโมสรที่เขาสร้างชื่อเสียงในทวีปนี้เช่นกัน เมื่อพาทีมคว้าอันดับ 3 ในลาลีก้า ฤดูกาล 2004-05 พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ให้ทีมได้มาเล่นใน แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นหนแรกในปีต่อมา
แม้ต้องลำบากไปเล่นในรอบเพลย์ออฟก่อน แต่ก็เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน มาได้ และในรอบแบ่งกลุ่ม เรือดำน้ำสีเหลือง ก็คว้าแชมป์กลุ่มแบบไม่มีใครคาดคิด โดยมีเบนฟิก้า และ ลีลล์ ตามมาเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัวเต็งแชมป์กลุ่มดันจมบ๊วยตกรอบไปแบบหมดสภาพ
ในรอบน็อคเอ้าท์ แม้ต้องเจออุปสรรคพอสมควร แต่ บียาร์เรอัล ก็เอาตัวรอดได้ตลอด ทั้งเสมอกับ เรนเจอร์ส ด้วยสกอร์ 3-3 แต่เข้ารอบด้วยกฏประตูทีมเยือน เช่นเดียวกับรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เสมอกับ อินเตอร์ มิลาน 2-2 ก็ทะลุรอบตัดเชือกด้วยเงื่อนไขเดียวกัน
สุดท้ายถึงพ่ายให้กับ อาร์เซน่อล แบบหวิดหวุด 1-0 ในรอบรองชนะเลิศ แต่นี่ก็เป็นการเปิดตัวในฟุตบอลยุโรปที่ยอดเยี่ยมที่สุดมากกว่าที่แฟนบอลบียาร์เรอัล คาดไว้หลายเท่าตัวแน่นอน
บทความที่เกี่ยวข้อง
