8 ชนวนเหตุ “พี่เสือ” แยกทาง “โควัช”

แม้จะพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในปีแรก แต่สถานการณ์ของ นิโก้ โควัช กับ บาเยิร์น มิวนิค ก็ยืนบนปากเหวมาโดยตลอด

 

หากเทียบกับกุนซือคนก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, คาร์โล อันเชล็อตตื รวมถึง จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ไม่แปลกที่กุนซือชาวโครแอต จะไม่เป็นที่โปรดปรานของแฟนบอล “เสือใต้” ตั้งแต่แรกเห็น

 

เพราะโปรไฟล์คนละเกรดเลย 3 คนที่ว่ากวาดแชมป์มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ตัว โควัช เพิ่งได้ เดเอฟเบ โพคาล มาเพียงถ้วยเดียวเท่านั้น

 

และตลอดการทำงาน 485 วัน ทุกครั้งที่ทีมฟอร์มย่ำแย่ กระแสถูกขับไล่จะมาเห็นเป็นระยะอยู่เสมอ จนในที่สุดทุกอย่างก็เกิดขึ้นจริงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

 

กุนซือวัย 48 ปี อยู่ภายใต้แรงกดดันมาตลอดการทำงานที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า และไม่ใช่การพ่ายแพ้เพียงเกมเดียวที่กลายเป็นจุดแตกหักให้เจ้าตัวต้องกระเด็นตกงาน

 

ไล่เรียงเหตุการณ์ตามไทม์ไลน์แล้ว ก็มีถึง 8 ชนวนด้วยกัน ที่เป็น “เหตุ” ของ “ผล” ในครั้งนี้

Uli Hoeness and Karl Heinz Rummenigge (picture-alliance/SvenSimon/F. Hoermann)

ตัวเบี้ยในสงครามผู้บริหาร

 

เหมือนกับกุนซือของ บาเยิร์น คนก่อนๆ โควัช จะมีบางเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่เบี้ยในเกมการเมืองของผู้บริหารสโมสร กุนซือชาวโครแอต ได้รับเลือกจาก อูลี่ เฮอร์เนส ประธานสโมสร แต่กลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของ คาร์ล ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ประธานบริหาร

 

ทั้งคู่และ ฮาซาน ซาลิฮามิดซิซ ผุ้อำนวยการกีฬาของทีม “เสือใต้” ชอบชิงพื้นที่สื่ออยู่เป็นประจำ เหมือนกับตุลาคมปีก่อนที่อยู่ดีๆ ก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวพูดเกี่ยวกับทีมอย่างมากมาย จนดูเหมือน โควัช แทบจะไร้ตัวตนในสโมสรไปเลย

Borussia Dortmund v FC Bayern München - Bundesliga (Getty Images/A.Grimm)

คำถามหลังเกม “แดร์ คลาสซิเกอร์”

 

แม้จะออกตัวได้ดีด้วยการชนะ 4 เกมแรกแบบสวยหรู ทว่าตั้งแต่เกมที่ 6-11 กลับเป็นหายนะที่ทำให้ โควัช เกือบจะกระเด็นตกรอบตั้งแต่ไก่โห่ เพราะหลังจากแพ้รวดต่อ แฮร์ธ่า และ กลัดบัค จนบอร์ดบริหารต้องตั้งโต๊ะยืนยันการสนับสนุน

 

เกม “คลาสซิเกอร์” หนแรกกับ ดอร์ทมุนด์ ผลการแข่งขันที่ไม่เป็นใจแพ้ไป 2-3 เก็บได้เพียง 7 คะแนนจาก 6 นัด ก่อนโดน “เสือเหลือง” ทิ้งห่างถึง 7 คะแนน มันเกิดคำถามถึงฝีมือของ โควัช และเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่ไว้วางใจ แม้สุดท้ายเจ้าตัวจะพลิกสถานการณ์แซงคว้าแชมป์ลีกได้ก็ตาม

Jürgen Klopp (picture-alliance/augenklick/firo Sportphoto/S. El-Saqqa)

ตกรอบ ยูซีแอล ด้วยน้ำมือ “คล็อปป์”

 

นอกจากผลงานในลีกที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ต้องลากยาวไปลุ้นแชมป์บุนเดสลีกาถึงนัดสุดท้ายๆ ทั้งๆ ที่กุนซือคนก่อนหน้าวิ่งม้วนเดียวจบ ทำคะแนนทิ้งห่างอันดับ 2 หลายสิบแต้ม ฟุตบอลยุโรป ก็เป็นอีกจุดที่ชี้วัดว่า โควัช พาตัวเองมาอยู่ในทิศทางอันตราย

 

หลังได้แชมป์ปี 2013 บาเยิร์น ก็ยังรักษาความเป็นยอดทีมทะลุถึงรอบรองฯ ได้ถึง 4 ครั้ง แย่สุดก็แค่รอบ 8 ทีม ทว่ายุคของกุนซือชาวโครแอตร่วงตั้งแต่รอบ 16 ทีม ที่สำคัญโดน ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บุกมาสอยคาบ้าน ที่ทำให้รู้ว่า “เสือใต้” ชุดนี้กำลังถอยหลังลงคลองชัดๆ

Arjen Robben and Frank Ribery (Reuters/A. Gebert)

แยกทาง “ร็อบเบรี”

 

ปฎิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าความสำเร็จของ บาเยิร์น มิวนิค ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลงานส่วนหนึ่งต้องยกให้กับปีกคู่หู่ในตำนานอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน และ ฟรองก์ ริเบรี่ ที่เสกผลงานระดับท็อปได้อย่างสม่ำเสมอให้กับทีม

 

แม้ผลงานของ คิงสลี่ย์ โกม็อง และ แซร์จ นาร์บี้ จะไม่ขี้เหร่ แต่เทียบกับ “ร็อบเบรี่” ก็ยังห่างชั้นเยอะ ทั้งเรื่องชื่นชั้น ทีเด็ดทีขาด และประสบการณ์ ซึ่งไม่แปลกใจเลยในซัมเมอร์ที่ผ่านมา บาเยิร์น ถึงตกเป็นข่าวกับปีกระดับโลกมากมาย ก่อนมาลงเอยกับ อิวาน เปริซิซ ที่ดูฟอร์มถึงตอนนี้ก็ยังไม่โอเคเท่าไร

Leroy Sane (Imago Images/Uk Sports/C. Myrie)

การชวดได้ “ซาเน่”

 

จากการหายไปของ “ร็อบเบรี่” จริงๆ แล้วเป้าหมายเบอร์ 1 ของทีม “เสือใต้” ก็คือ เลรอย ซาเน่ ปีกชาวด๊อยซ์ของ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งเอาจริงๆ เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะมีใจ หลังไม่ค่อยมีความสุขในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม เนื่องจากไม่ได้ลงสนามแบบสม่ำเสมอ

 

อย่างไรก็ตามโปรเจ็กต์นี้ต้อง “ล่ม” ไปแบบน่าเสียดาย เพราะ ซาเน่ ดันมาเจ็บหนักจากเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ น่าเสียดายเหมือนกันหากแนวรุก บาเยิร์น เป็น 3 ผสาน นาร์บี้, เลวานดอฟสกี้ และ ซาเน่ ผลงานของทีมอาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้

Niklas Süle (Getty Images/Bongarts/A. Hassenstein)

“ซูเล่” เจ็บยาว

 

ปัญหาที่ทำเอา นิโก้ โควัช ปวดหัวที่สุดระหว่างฤดูกาลคงหนีไม่พ้นการเสียปราการหลังตัวหลักอย่าง ซูเล่ เพราะปราการหลังดีกรีทีมชาติเยอรมัน คือหัวใจของเกมรับ และทำผลงานได้ดีชนิดที่ทีมกล้าปล่อย มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ และดร็อป เจอโรม บัวเต็ง เป็นเพียงตัวสำรอง

 

การขาดหายไปของ ซูเล่ ทำให้แนวรับของ “เสือใต้” มีปัญหาเยอะ 8 เกมหลังสุดพวกเขาเก็บคลีนชีตไม่ได้เลย ส่วนเกมล่าสุดก็เป็น บัวเต็ง ที่โดนใบแดงตั้งแต่ต้นเกม จนเป็นสาเหตุหลักให้ทีมโดน แฟรงค์เฟิร์ต ถล่มแบบไม่ไว้หน้า 5-1

Thomas Müller and Niko Kovac (picture-alliance/Frank Hoermann/SvenSimon)

“มุลเลอร์” ฟอร์มตก

 

นับตั้งแต่ โควัช เข้ามากุมบังเหียน บาเยิร์น สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือกุนซือชาวโครแอต อยากจะสร้างทีมด้วยสายเหลือดใหม่ เขามีปัญหากับขาใหญ่ของทีมมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น อาร์เยน ร็อบเบน, ฟรองก์ ริเบรี่, มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ และ เจอโรม บัวเต็ง ที่โดนดร็อปจากทีมชุดแรก

 

โธมัส มุลเลอร์ ก็เคสเดียวกัน เจ้าตัวฟอร์มตกแบบน่าใจหาย ยิงประตูครั้งสุดท้ายในบุนเดสลีกา ก็ต้องย้อนไปเดือนมีนาคมที่ทีมถล่ม โวล์ฟสบวร์ก 6-0 ส่วนฤดูกาลนี้ได้ออกสตาร์ตตัวจริงแค่ 5 เกม รวมถึงนัดล่าสุดที่โดน แฟรงค์เฟิร์ต ยำเละเทะ 5-1 ด้วย

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ได้ลงถี่ๆ ในช่วงหลัง มีการล้วงลูกจากบอร์ดบริหารหรือไม่ หลังมีกระแสว่าเจ้าตัวจะย้ายทีมในช่วงปีใหม่ บอร์ดบริหารก็ออกข่าวโต้ทันที และปลายเดือนตุลาคม มุลเลอร์ ก็กลับมาเป็นตัวจริง เรื่องราวมันดูสอดคล้องกันไปหมด

Bayern's players after the loss to Frankfurt (Getty Images/Bongarts/A. Bongarts/)

แพ้ยับที่สุดในรอบ 10 ปี

 

แม้ทุกอย่างจะถูกลอยเรียงกันมาตามกาลเวลา แต่ฟางเส้นสุดท้ายจริงๆ คงหนีไม่พ้นการบุกไปแพ้ แฟรงค์เฟิร์ต แบบน่าเกลียด 1-5 ซึ่งนับเป็นการปราชัยที่ยับที่สุดของ บาเยิร์น ในรอบ 10 ปี ที่คนรัก “เสือใต้” ทุกคนไม่อาจรับได้

 

งานนี้ต้องบอกว่า บาเยิร์น ไม่มีทางเลือกจริงๆ และตัว โควัช เองก็รู้ดีว่ามันถึงทางตันแล้ว จริงๆ ตามรายงานข่าวระบุว่าแชมป์บุนเดสลีกา อยากให้โอกาสอีก 2 นัด เกมพบ โอลิมเปียกอส และ ดอร์ทมุนด์ แต่สุดท้ายบทสรุปก็จบตามข่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา