จดจำตลอดไป : 8 เกมแชมเปี้ยนส์ลีกสุดคลาสสิคจากกฎประตูทีมเยือน

 

กฎประตูทีมเยือนคือสิ่งที่แฟนบอลเห็นจนชินตาในการแข่งขันรอบน็อคเอ้าท์แบบเหย้าเยือนในสโมสรฟุตบอลยุโรปนับตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งใช้กันเรื่อยมาและลากยาวจนถึงปัจจุบัน เพียงแต่ว่านับตั้งแต่ฤดูกาลหน้า ประตูลักษณะนี้จะไม่มีให้เห็นอีกต่อไป

 

เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจาก สหพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติยุโรป หรือ ยูฟ่า ตัดสินใจยกเลิกกฎ ประตูทีมเยือนออกจากการแข่งขันที่พวกเขาทำดูแลทั้งหมดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2021-22 เป็นต้นมา ทั้ง แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูโรป้าลีก และ รายการน้องใหม่อย่าง คอนเฟเรนซ์ ลีก

 

กฎการยิงประตูทีมเยือนถูกใช้มานานกว่า 56 ปี โดยมีเจตนาเพื่อให้ทีมไปเยือนไม่พยายามอุดไม่ให้เสียประตูอย่างเดียว จนกระทั่งในยุคหลังๆ กลับมีข้อถกเถียงมาโดยตลอดในระยะหลังว่ามีความยุติธรรมหรือไม่ จนทำให้ ยูฟ่า ตัดสินใจยกเลิกไปในที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม ประตูทีมเยือน ถือเป็นกฎที่มีบทบาทสำคัญต่อฟุตบอลสโมสรยุโรปตลอด 50 ปีกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแชมเปี้ยนส์ลีกที่สร้างเกมสุดคลาสสิคให้แฟนบอลได้จดจำไม่น้อย

 

UFAARENA จึงย้อนรำลึกถึง 8 เกมจากศึกแชมเปี้ยนส์ลีกสุดคลาสสิคจากกฎประตูทีมเยือน

 

 

เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า 5-4 เอซี มิลาน | ฤดูกาล 2003-04

 

 

ในยุคก่อน การฮึดสู้ในเกมเลกสอง กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป และ ซูเปอร์ เดปอร์ ในฤดูกาล 2003-04 ก็เป็นตัวอย่างและมาตรฐานในการดวลกับหนึ่งในสโมสรที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ยูโรเปี้ยน คัพ

 

ช่วงเวลาระหว่างปี 2003 ถึง 2007 เอซี มิลานของคาร์โล อันเชล็อตติเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ถึง 3 ใน 5 ครั้ง โดยชนะ 2 และแพ้หนเดียวในที่ ลิเวอร์พูล สร้างปาฏิหาริย์ที่ยากจะลืมเลือนในอิสตันบูลปี 2005

 

บางที ‘หงส์แดง’ ของ ราฟาเอล เบนิเตซ ในตอนนั้น คงได้ลา กอรุนญ่า ในตอนนั้นเป็นแรงบันดาลใจ ผู้ที่เอาชนะ ‘รอสโซเนรี่’ ได้ถึง 4-0 ในเกมเลกสอง รอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อฤดูกาลก่อน

 

วอลเตอร์ แพนเดียนี่ โหม่งให้ทีมจากสเปน ขึ้นนำเจ้าบ้านไปก่อนในเกมแรกที่ ซาน ซีโร่ ก่อนที่ มิลาน จะรัวแซง 4 ลูกใน 8 นาที จนใครต่อใครก็คิดว่าพวกเขาหมดหวังเข้ารอบแล้วในเกมแรกสองที่รังเหย้าของตัวเอง

 

แต่ประตูทีมเยือน ก็ยังทำให้พวกเขามีหวังเล็กๆ เมื่อต้องการเพียง 3 ประตูเท่านั้นก็จะเข้ารอบต่อไปทันที แต่ ลา กอรุนญ่า กลับทำได้เหนือคาดกว่านั้นด้วยการยิงใส่ ‘ปีศาจแดงดำ’ ถึง 4 ลูกในเกมต่อมา และกลายเป็นหนึ่งในเกมที่คนพูดถึงเป็นอันดับแรกยามนึกถึงเกมโกงตายเลกสองในบอลยุโรป

 

 

เชลซี 1-1 บาร์เซโลน่า | ฤดูกาล 2008-09

 

 

อีกเกมสุดคลาสสิคในยุคแชมเปี้ยนส์ลีกจากประตูทีมเยือน ซึ่งลูกยิงตีเสมอของ อันเดรส อิเนียสต้า ช่วงทดเวลาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทำให้ บาร์เซโลน่า เขี่ยเชลซี ตกรอบ และผ่านเข้าไปคว้าแชมป์ยุโรปเหนือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ

 

อย่างไรก็ตาม หากลองไปถามความเห็นเกี่ยวกับความทรงจำในเกมนัดนี้จากแฟน ‘สิงห์บลู’ พวกเขาคงต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในเกมสุดอัปยศที่ทีมรักของพวกเขาเคยพบเจออย่างแน่นอน

 

 

บาร์เซโลน่า 2-3 เชลซี | ฤดูกาล 2011-12

 

 

3 ปีหลังจากลูกยิงของ อิเนียสต้า เป็นดั่งมีดทิ่มแทงใจ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ เชลซี จะได้ล้างแค้น บาร์เซโลน่า ถึงคัมป์ นู เสียทีในฤดูกาล 2011-12

 

ทีมของ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่เล่นเกมรับได้เหนียวแน่นสุดๆ สามารถคว้าชัยไปได้ 1-0 ในเกมแรกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก่อนจะฟาดแข้งกันต่อไปที่สเปนในเกมเลกสอง

 

แต่พลพรรค ‘สิงห์บลู’ ดูท่าจะแย่ตั้งแต่ 10 นาทีแรกใน กาตาลุนย่า เมื่อ จอห์น เทอร์รี่ กองหลังกัปตันทีมโดนไล่ออก หลังไปอัดหนักใส่ อเล็กซิส ซานเชซ ก่อนที่ บาร์ซ่า ได้ยิงประตูขึ้นนำ 2-0 ในเกมนั้น

 

ทว่า รามิเรส ก็ยิงประตูความหวังให้ เชลซี ตีเสมอด้วยสกอร์รวม 2-2 ซึ่งหมายความว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องบุกหนักเพื่อทำประตูให้ได้ แต่การขึ้นมาเติมเกมรุกทั้งทีมก็ทำแนวรับโล่ง และกลายเป็น เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่อาศัยจังหวะโต้กลับหลุดเดี่ยวไปยิงประตูปิดกล่องให้ ยอดทีมจาก ลอนดอน ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ก่อนคว้าแชมป์เหนือ บาเยิร์น มิวนิค ได้ในบั้นปลายของฤดูกาลนั้น

 

 

บาร์เซโลน่า 6-5 เปแอสเช | ฤดูกาล 2016-17

 

 

บาร์เซโลน่า ดูท่าหมดหวังในการเข้ารอบต่อไปแล้ว หลังพลาดท่าให้กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไปก่อนในเกมเลกแรกด้วยสกอร์ 4-0 ของรอบ 16 ทีมสุดท้ายในฤดูกาล 2016-17 และการที่ยิงประตูทีมเยือนไม่ได้เลย ก็ทำให้พวกเขาแทบหมดโอกาสคัมแบ็คกลับมาเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

 

แต่ หลุยส์ ซัวเรซ ก็จุดประกายความหวัง ตั้งแต่ 3 นาทีแรกของเกมเลกสองใน คัมป์ นู ก่อนที่ความหวังจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจากประตูที่ 2 และ 3 ของพวกเขาในเวลาต่อมา

 

แต่ เอดินสัน คาวานี่ ก็ปิดประตูความหวังนั้นแทบสนิท เมื่อซัดให้ เปแอสเช ไล่มาเป็น 3-1 ในเกมนั้น และลูกยิงของหอกชาวอุรุกวัย ก็ทำให้ ‘อาซูลกราน่า’ ต้องยิงประตูเพิ่มถึง 3 ลูก หากยังหวังจะเข้ารอบต่อไป และดูเหมือนจะเสียศูนย์แล้ว ทว่าเกมดันกลับตาลปัตรภายในช่วง 7 นาทีสุดท้ายของเกม

 

เนย์มาร์ ซัดฟรีคิกให้ บาร์ซ่า ไล่ตามมาห่างๆ ก่อนกดจุดโทษให้ทีมตีเสมอด้วยสกอร์รวม 5-5 แต่ช่วงที่แฟนบอล เปแอสเช ไม่คาดคิดก็มาถึง เมื่อ ปีกจอมพลิ้วทีมชาติบราซิล บรรจงเปิดบอลให้ เซร์กี้ โรแบร์โต้ ที่เติมเข้ามากรอบเขตโทษอย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนจิ้มบอลผ่าน เควิน แทรปป์ เข้าไปให้ ทีมจากสเปนพลิกเข้ารอบไปได้ด้วยสกอร์รวม 6-5

 

 

โรม่า 4-4 บาร์เซโลน่า | ฤดูกาล 2017-18

 

 

ดูเหมือนว่า บาร์เซโลน่า จะเสพติดความดราม่าในการแข่งขันไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพลิกชนะแบบเหนือคาดหรือฝ่ายผิดหวังพ่ายแพ้ไปแบบเจ็บปวดก็ตาม

 

และในฤดูกาล 2017-18 พวกเขาเป็นอย่างหลัง เมื่อพบกับ โรม่า และเป็นเอาชนะมาได้ก่อน 4-1 ในเกมแรกที่ คัมป์ นู และไม่มีใครคิดว่า ยอดทีมจาก กาตาลุนย่า จะแพ้อย่างแน่นอน

 

แต่สุดท้าย ‘บาร์ซ่า’ ก็โดน ‘หมาป่ากรุงโรม’ หักปากกาเซียนชนะไป 3-0 ในเกมเลกสองที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก้ โดยลูกยิงของ คอสตาส มาโนลาส ช่วงท้ายเกมน่าจะติดตาเหล่า กูเล่ส์ ที่รับชมเกมนั้นไปอีกนานแสนนาน

 

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-4 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ | ฤดูกาล 2018-19

 

 

สเปอร์ส เล่นเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยมจนกเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในเกมนัดแรกรอบ 8 ทีมสุดท้ายของ แชมเปี้ยนส์ลีก ในรังเหย้าของตัวเอง แต่ในเกมแลกสองที่ เอติฮัด ทั้ง 2 ทีมกลับยิงกันแหลกลาญในช่วง 21 นาทีแรก โดย ซอง เฮือง มิน กดไป 2 แต่ ซิตี้ก็รัวเพิ่ม 3 ลูก จนทำให้เกมเสมอกันที่สกอร์รวม 3-3

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้ ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีเป้าหมายที่ชัดเจนก็คือต้องเอาชนะให้ได้มากกว่า 2 ลูกขึ้นไปในเกมนี้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องตกรอบไปอีกปี

 

เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงประตูให้ ซิตี้ ขึ้นนำในครึ่งหลัง แต่ก็โดนลูกยิงของ เฟร์นานโด ยอเรนเต้ ตามมาขวางทางเข้ารอบ และช่วงท้ายเกมก็เกิดดราม่าขึ้น เมื่อ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ยิงประตูให้แฟน เรือใบสีฟ้า เฮลั่นสนาม แต่ก็โดน VAR ริบประตูคืน เนื่องจากมีจังหวะล้ำหน้าในจังหวะต่อบอลก่อนขึ้นมาทำประตู ส่งผลให้ ‘ไก่เดือยทอง’ เข้ารอบตัดเชือกไป  

 

 

อาแจ็กซ์ 3-3 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ | ฤดูกาล 2018-19

 

 

หากกฎประตูทีมเยือนถูกยกเลิกตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ อาจไม่มีทางผ่านเข้าเล่นในรอบชิงชนะเลิศของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา เนื่องจากต้องดวลในช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาดังกล่าว ทีมของง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ก็สร้างเรื่องราวสุดเหลือเชื่อได้ เพราะก่อนหน้านี้ในเกมเลกแรก พวกเขาพ่ายให้กับ แอร์เบ ไลป์ซิก ไปก่อน 1-0 ที่เยอรมัน จากนั้นก็มาโดนนำ 2 ลูกในเกมเลกสอง

 

แต่ ลูคัส มูร่า ก็กลายเป็นฮีโร่ ของยิด อาร์มี่ ทั่วโลก เมื่อโชว์ฟอร์มเทพกดแฮตทริกช่วงทดเวลาให้ สเปอร์ส โกงความตายตีเสมอด้วยสกอร์ 3-3 และผ่านเข้ารอบไปดวลกับ ลิเวอร์พูล ในนัดชิงชนะเลิศ แม้สุดท้ายจะอกหักในตอนท้ายก็ตาม

 

 

ยูเวนตุส 4-4 ปอร์โต้ | ฤดูกาล 2020-21

 

 

การได้กลับมาพบกันของ 2 เพื่อนเก่าใน เรอัล มาดริด อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เปเป้ ได้รับการพูดถึงไม่มาก เมื่อ ปอร์โต้ ดันพลิกล็อกเอาชนะ ยูเวนตุส ไปก่อนในเกมเลกแรก ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ณ สนามเอสตาดิโอ้ โด ดราเกา

 

กับเกมนัดที่ 2 ในตูริน ‘ม้าลาย’ ก็เป็นเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์เดิมจากเลกแรกใน 90 นาที ทำให้ต้องตัดสินหาผู้ชนะกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

ปอร์โต้ ดูเป็นรองกว่าเยอะ หลังจากต้องต้านคู่แข่งด้วยผู้เล่นเพียง 10 คนในสนามนานร่วมชั่วโมงแล้ว แต่ทีมจากโปรตุเกสก็ได้เฮจากลูกฟรีคิกสุดเหนือของ เซร์คิโอ้ โอลิเวียร่า แม้ อาเดรียน ราบิโอต์ จะยิงให้เจ้าบ้านได้ในนาทีที่ 117 แต่ก็ไม่ทันการณ์แล้วส่งให้ ปอร์โต้ ผ่านเข้ารอบต่อไปด้วยกฎประตูทีมเยือน